top of page

2014.10.30 Japan Trip #7 Day8 - Naruko Gorge

วันที่ 8 ของทริปตะลุยใบไม้แดงที่โทโฮคุ วันนี้เราจะพาไปชมวิวหุบเขาพร้อมใบไม้เปลี่ยนสีกันที่นารุโกะอนเซ็นซึ่งอยู่ในจังหวัดมิยะงิ ไม่ไกลจากเมืองเซ็นไดมากนัก เดินทางไปง่ายมากชนิดชั่วโมงเดียวก็ไปถึง แต่ก็เพราะงี้ล่ะเลยทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาที่นี่เช่นกัน ที่สำคัญวันนี้อากาศดี รูปสวยๆเพียบแน่นอน



ออกจากที่พักแต่เช้าเท่าเมื่อวานนี้เพราะรถไฟรอบที่จองไว้เป็นรอบเดียวกับเมื่อวาน จริงๆจะไม่ต้องจองก็ได้เพราะแค่สถานีเดียว 10 นาทีก็ถึง แต่ไหนๆก็มีบัตรพาสแล้วก็จองๆไปเถอะ ฮ่าๆ


กินข้าวเช้าที่โรงแรม ก่อนจะออกจากที่พัก 7.30 น. ก็มาถึงทันล่ะนะ ใช้เวลาเดินไม่ถึง 15 นาที


ขึ้นมาถึงชานชาลาด้านบน ยืนรอรถไฟชินคังเซ็น


ระหว่างยืนรอก็ได้พบเจอกับรถไฟ E5 ขบวน Hayabusa อีกครั้ง


ไม่นานนักก็ได้เห็นรถไฟ E6 ขบวน Super Komachi อีกครั้งเช่นกัน


ขึ้นรถไฟละ รถไฟที่เราได้นั่งเช้านี้เป็นรถไฟรุ่น E2 เก่าแก่ นั่งไปสถานีเดียวไม่ทันได้ทำอะไรบนรถหรอก 555+


รถไฟที่เรานั่งไปเที่ยวเช้านี้คือ Shinkansen Yamabiko 41 ออกจากสถานี Sendai เวลา 8.02 น. จะไปถึงสถานี Furukawa เวลา 8.14 น.


นั่งยังไม่ทันก้นอุ่นดีก็ต้องลงจากรถซะแล้ว


มาถึงสถานี Furukawa แล้วจ้า


เดินออกจากสถานีชินคังเซ็น จะมีป้ายบอกและมีช่องทางเดินไปต่อรถไฟธรรมดาที่สถานีรถไฟ JR ซึ่งเราต้องไปรอต่อรถไฟ JR สาย Rikuu East Line แต่ว่าตอนนี้จะต้องนั่งรอเพราะกว่ารถไฟจะมาก็อีก 1 ชม.เต็มๆ..


มาอธิบายการเดินทางหน่อย วันนี้เราจะเดินทางไปเที่ยวที่ Naruko Gorge ซึ่งต้องนั่งรถไฟชินคังเซ็นจากเซ็นไดมาลงที่ฟุรุคะวะ(ที่อยู่ตอนนี้) และจะต้องต่อรถไฟ JR สาย Rikuu East Line ไปลงที่สถานี Naruko-onsen แล้วต้องนั่งรถบัสในเมืองไปลงที่ป้าย Naruko Gorge อีกที



ตอนนี้ก็มารอรถไฟที่ชานชาลาก่อน หลับรอได้เลย อีกตั้งชั่วโมงนึงแน่ะกว่าจะมา


ยืนดูตารางเวลารถไฟเล่นๆ รอบรถไฟก็ไม่ได้เยอะเท่าไหร่เลย


ป้ายสถานี Furukawa จิ๋วๆ


ถึงเวลารถไฟมาแล้ว รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟ one man สินะ


ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที นี่เป็นวิวข้างทางตอนใกล้จะถึงสถานี Naruko-onsen


มาถึงสถานี Naruko-onsen แล้ว เดินลงจากรถไฟ


ป้ายสถานี Naruko-onsen ที่เรามาเที่ยวในวันนี้


ดูตารางรถไฟเอาไว้ก่อน จะได้ประมาณเวลากลับได้ถูก เราสังเกตว่ามันมีรถไฟที่เป็นรถไฟพิเศษชื่อว่า Resort Minori ด้วย! อยากนั่งจังเลยแฮะ แต่ว่ามันต้องจองแหงเลย ไม่รู้ว่าพาส JR East Pass จะใช้จองได้มั้ยนะ?


เดินออกมาหน้าสถานี Naruko-onsen แล้ว


ข้างหน้าสถานีรถไฟมีบ่อน้ำร้อนสาธารณะให้นั่งแช่เท้าด้วยล่ะ ไว้กลับมาลองแช่เท้าดูละกัน


มาดูเส้นทางเดินที่แผนที่หน้าสถานีก่อน เส้นทางเดิน hiking ที่นี่มีสองคอร์สด้วยกัน ดูจากเวลาแล้วน่าจะเลือกได้แค่คอร์สเดียว


จากแผนที่นี้ เราแพลนไว้ตอนแรกว่าจะนั่งรถบัสไปลงที่สะพานโอฟุคะซะวะ แล้วจะเดินเล่นตามเส้นทาง Naruko Gorge Walking Trail แต่ปรากฏว่ามันปิด.. ตอนแรกเราคิดว่าปิดนิดเดียว ที่ไหนได้ปิดยาวทั้งเส้นทางเลยล่ะ ก็เลยจำใจต้องไปเดินในเส้นทาง Ofukazawa Walking Trail แทนด้วยประการฉะนี้


มัวแต่เวิ่นเว้อเลยไปไม่ทันรถบัสรอบที่กำลังจะออก เลยต้องรออีก 50 นาทีแน่ะ


แต่การรอคอยมันก็ดี เพราะว่าเราได้นั่ง ถ้าไปรอบก่อนหน้านั้นต้องยืนไปน่ะ ค่ารถบัสคนละ 320 เยน


นั่งมาถึงป้ายที่เป็นปากทางเข้าเส้นทางเดิน Naruko Gorge Walking Trail พูดแล้วก็เสียดายที่มันปิดไม่ให้เดินในช่วงนี้


เอากรวยมาตั้งขวางเลยนะเนี่ย ปิดแบบจริงจังมากๆ


ใช้เวลานั่งรถบัสประมาณ 15 นาทีก็มาถึงสะพานโอฟุคะซะวะแล้ว


ผู้คนทยอยกันขับรถเข้ามาที่แห่งนี้เรื่อยๆไม่ขาดสายเลย เพราะที่นี่เดินทางมาได้ง่ายมากสำหรับคนญี่ปุ่น เพียง 60 กิโลเมตรจากตัวเมืองเซ็นไดเท่านั้นเอง


พอลงรถบัสก็เดินมาถ่ายรูปตรงสะพานโอฟุคะซะวะก่อนเลย


เป็นจุดวิวนิยมมากๆ คนมาถ่ายรูปตรงนี้เยอะ ใช่แล้ว! เค้ามาถ่ายอุโมงค์รถไฟกันซิ


มีป้ายบอกทางเดินไปยังเส้นทางเดิน Naruko Gorge Walking Trail ด้วย แต่วันนี้คงไม่ได้เดินเนอะ..


จากนั้นก็ลองเดินไปตรง Naruko Gorge Rest House ก่อน


บริเวณสวนหย่อมรอบๆ Naruko Gorge Rest House


จากข้างๆ Naruko Gorge Rest House จะมีมุมที่มองกลับไปยังสะพานโอฟุคะซะวะอยู่ด้วย


จากตรงนี้ก็ยืนถ่ายรูปกันเพลินเลยล่ะ


ใบไม้เริ่มจะกลายเป้นสีส้มและน้ำตาลซะแล้ว แต่ก็ยังดูสวยในระดับนึงอยู่นะ


ชมบรรยากาศโดยรอบกันแบบวีดีโอซะหน่อยๆ


ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซะหน่อย


ตรงอุโมงค์รถไฟนี้เป็นจุดที่คนนิยมถ่ายรูปกันมาก เรียกว่าเป็นไฮไลท์ของ Naruko George เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีรถไฟแล่นผ่าน โดยเราได้เช็คเวลามาแล้วเช่นกัน รถไฟ JR สาย Rikuu East Line นั่นล่ะที่จะแล่นผ่านอุโมงค์นี้ ซึ่งเวลาที่จะถึงตอนนี้คือรถไฟออกจากสถานี Nakayamadaira-onsen เวลา 12.21 น. ไปถึงสถานี Naruko-onsen เวลา 12.28 น. ดังนั้นแล้วช่วงเวลา 12.21 - 12.28 น. จะเป็นช่วงเวลาที่รถไฟแล่นผ่าน


เราเดินกลับไปที่ตรงสะพานโอฟุคะซะวะ จุดที่เห็นมุมของสะพานและอุโมงค์รถไฟได้ชัดเจนที่สุด แล้วก็ดักรอรถไฟแล่นผ่านมาให้ถ่ายรูปอยู่ที่ตรงนี้


ง้างกล้องรอรถไฟมาแต่ไกล ทันใดนั้นรถไฟก็แล่นผ่านมา!!


รถไฟค่อยๆแล่นผ่านอย่างช้าๆ มีจอดแช่อยู่สักครู่หนึ่งด้วย เพราะเค้ารู้ว่ามีคนรอถ่ายรูปจำนวนมาก


นาทีนี้มีแต่เสียงชัตเตอร์ดังรัวๆอยู่รอบตัวเรา รวมทั้งจากกล้อง DLSR ตัวเก่งของเราด้วย ฮ่าๆ


ช่วงเวลานี้รถไฟจะหยุดจอดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้ทุกคนได้มีเวลาถ่ายรูป ราวๆสักเกือบๆ 1 นาทีก็เริ่มเคลื่อนที่ต่อ


ถึงตรงนี้เราน่าจะรัวชัตเตอร์ไปเกือบๆร้อยรูปได้แล้วมั้งนี่


และรถไฟก็แล่นเข้าอุโมงค์ผ่านไป ปรบมือ!


นี่เป็นรูปผลงานโดยคุณแม่ของเราเอง ท่านยืนถ่ายอยู่ตรง Naruko George Rest House


เก็บความประทับใจกับการถ่ายรูปอุโมงค์รถไฟ แล้วไปหาอะไรกินกันเถอะ


นอกจากร้านอาหารแบบจานด่วนกินง่ายภายใน Naruko George Rest House ที่คนเยอะมากๆแล้ว ด้านนอกก็จะมีซุ้มขายอาหารคล้ายๆกับงานวัดตั้งอยู่มากมายให้เลือก เอาง่ายๆที่สุดสำหรับเราก็ยากิโซบะนี่ล่ะ กล่องใหญ่นี้ราคา 500 เยน อิ่มแปล้เลย


ต่อด้วยซอฟต์ครีมอีกซักโคน ท่ามกลางแสงแดดอันแรงกล้า


หลังจากท้องอิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินเล่นชมใบไม้เปลี่ยนสีซะที อย่างที่บอกไปว่าเส้นทาง Naruko Gorge Walking Trail อันสวยงามและเป็น trademark ของที่นี่มันปิด พวกเราก็เลยจำเป็นต้องไปเดินชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เส้นทาง Ofukazawa Walking Trail แก้ขัดแทน ซึ่งระยะทางมันสั้นกว่ากันมากเลยด้วยนะ


แต่ก่อนอื่นขอไปเดินดุ่มๆดูหน้าทางเข้า Naruko Gorge Walking Trail หน่อยละกัน


เลยทางเข้าไปนิดนึงจะมีจุดชมวิวอยู่


ซึ่งสามารถมองเห็นวิวได้ไกล แล้วก็สามารถมองลงไปเบื้องล่างที่เป็นเส้นทางเดิน Naruko Gorge Walking Trail ได้ด้วย


มันสวยงามมากเลยนะ แต่ดันปิดเส้นทางเดินซะนี่ เสียดายแท้..


เอาเถอะ ไม่เป็นไรๆ เดินกลับไปทางเดิมเพื่อจะไปเดินเส้นทาง Ofukazawa Walking Trail แทนก็ได้


หยุดถ่ายรูประหว่างทางเดินหน่อย ตอนยืนถ่ายรูปอยู่ปรากฏว่าเราโดนแมลงกัดที่ขาเหนือตาตุ่ม เจ็บมาก แต่ก็ทนได้อยู่ๆ เดินต่อไหวสบายๆ


มาถึงทางเข้าเส้นทาง Ofukazawa Walking Trail แล้วจ้า


เริ่มต้นเดินเข้าสู่เส้นทางการ hiking กันเล้ย!


จะว่าไปก็ยังมีใบไม้แดงอยู่เยอะเลยนะเนี่ย


แดดแรงจริงวันนี้ เอาจริงๆก็แรงมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ


ระยะทางรวมของเส้นทาง Ofukazawa Walking Trail นี้อยู่ที่ประมาณ 1.6 กิโลเมตร น่าจะใช้เวลาเดินเล่นสัก 1 ชั่วโมงได้


ทางเดินจะเป็นเส้นทางระหว่างหุบเขา เมื่อมองไปตามข้างทางก็จะเห็นหุบเขาที่อยู่ลึกลงไป


ในขณะที่อีกฟากของทางเดินก็จะเป็นสันเขาที่มีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นแซมอยู่ สีเหลืองสีแดงตัดกันดูสวยงาม


เดินไปเรื่อยๆ ถึงแดดจะร้อนแต่ก็มีลมเย็นๆพัดผ่านตลอดเวลา ก็เลยไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่


เส้นทางมันเดินสบายมากเลยนะ ถึงจะสั้นไปนิดก็เถอะ


มาชมบรรยากาศการเดินชมธรรมชาติแบบสดๆกันดีกว่า


ใบไม้แดงของที่นี่สีสดมากๆ สะท้อนกับแดดแล้วสวยจริงๆ


พอถึงป้ายนี้ก็เลี้ยวซ้ายแล้วเดินต่อไปตามทาง


เดินมาได้อีกหน่อยก็รู้สึกได้ว่าใบไม้แดงแบบนี้เริ่มน้อยลง ยิ่งเดินเข้าไปลึกยิ่งน้อย


มีเส้นทางเดินที่วนลงไปข้างล่างด้วย ได้เดินผ่านน้ำตกและลำธารเล็กๆ ธรรมชาติมากๆ


เดินข้ามลำธารเล็กๆที่ช่วยทำให้บรรยากาศในบริเวณนี้เย็นชุ่มฉ่ำ


เดินวนลงมาเสร็จแล้วก็ต้องมีเดินขึ้นกันบ้าง


จริงๆแล้วมันมีเส้นทางที่เดินไปดูจุดต่างๆนอกเหนือจากเส้นทางหลักด้วยนะ แต่เราไม่ได้ไปล่ะ เดินแค่ตามทางหลักเท่านั้นเอง



ระหว่างทางเดินนี่ร่มรื่นมากๆ อากาศเย็นๆชื้นๆช่วยเสริมให้การเดิน hiking สนุกและสบายตัวมากๆ


ถือโอกาสได้สูดอากาศดีๆท่ามกลางธรรมชาติอันร่มเย็นไปในตัว เป็นการมาเที่ยวพักผ่อนที่ดีมากเลย


เดินมาได้จนเกือบจะสุดเส้นทางเดิน Ofukazawa Walking Trail แล้ว เส้นทางจะไปสิ้นสุดที่บริเวณใกล้กับ Naruko Gorge Rest House


วิวหุบเขาของ Naruko Gorge ที่พบเจอใบไม้เปลี่ยนสีได้จนสุดลูกหูลูกตา


แสงแดดด้านบนนั้นเจิดจ้ามากๆ แต่เส้นทางเดินนั้นอยู่ในร่มเงาของภูเขาจนหมดทำให้เดินได้อย่างสบาย


ลมเย็นๆพัดแรงๆเป็นระยะจนใบไม้ปลิวไสวจนบางทีใบไม้ก็ปลิวเข้าใส่ตัวเรา


ระหว่างเดินก็แอบเหล่มองลงไปยังหุบเขาด้านล่าง สูงใช้ได้เลยทีเดียว


และในที่สุดเราก็เดินมาจนถึงสุดเส้นทางเดิน Ofukazawa Walking Trail จนได้


มาจนสุดเส้นทางแล้ว เราก็ยังได้พบเจอใบไม้แดงสวยๆ


ได้พบเจอกับใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆตลอดระยะทาง 1.6 กิโลเมตรเลย ก็ถือว่าไม่เลวเท่าไหร่ถ้าคิดว่าไม่ได้เดินเส้นทางหลักที่ถูกปิดไปตั้งแต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปีค.ศ.2008


ป้ายบอกทางเดินกลับไปยัง Naruko Gorge Rest House


เดินผ่านถนนยางมะตอยที่ตัดผ่านบ้านเรือนนี่ล่ะ


ยังคงมีใบไม้แดงให้ชมอยู่เรื่อยๆตามสองฝั่งข้างถนน


เลี้ยวซ้ายมาอีกทีจะเจอถนนใหญ่ข้างหน้าโน่น แล้วก็จะมีป้ายรถบัสขากลับอยู่ตรงปากซอยถนนนี้เลย แต่กว่าจะถึงเวลารถบัสมาก็อีกประมาณครึ่งชั่วโมงเลย งั้นเราเดินข้ามถนนเลยไปชมวิวหุบเขาต่อก่อนก็แล้วกัน


เดินข้ามถนนเข้ามานิดเดียวก็เจอจุดชมวิวที่อยู่ด้านหลังของ Naruko Gorge Rest House เลย


หุบเขาเบื้องหน้าเรานี้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดิน Naruko Gorge Walking Trail ที่ถูกปิดไปนั่นเอง


ด้านล่างหุบเขาตรงนี้ก็คือเส้นทางเดิน Naruko Gorge Walking Trail ซึ่งก็มีใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามเช่นกัน แต่ทัศนียภาพจะน่าชมมากกว่าด้วยความที่เป็นเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามลำธารและหุบเขาเบื้องล่าง


ใกล้จะได้เวลาต้องกลับแล้ว ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซะหน่อย


อีกประมาณ 20 นาทีรถบัสจะมา เริ่มมีคนมายืนรอรถบัสขากลับกันและ เรากลัวรถบัสจะแน่นจนโดยสารกลับไปทั้งสี่ชีวิตไม่หมดก็เลยรีบเดินมาต่อคิวที่ป้ายรถบัส รถบัสเที่ยวขากลับที่เราดูไว้คือเวลา 15.35 น. ควรเช็คเวลารถให้ดีๆเพราะรถบัสไม่ได้มีตลอดเวลา เที่ยวสุดท้ายน่าจะเวลา 16.40 น. เอง ถือว่าหมดไวและรอบรถดูน้อยมาก ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องนั่งแท็กซ๊่กลับไปที่สถานีรถไฟเอาแทน


ระหว่างนี้ก็ยืนหาข้อมูลเช็คนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย


ขึ้นรถบัสมาแล้วเราได้นั่งด้วย แสดงว่าคนก็ไม่ได้แน่นเกินไปเนอะ หยิบตั๋วรถที่ข้างเสาตอนเดินขึ้นรถมาตามปกติ เตรียมเงินให้พร้อมในการหยอดกล่องจ่ายเงินก่อนลงจากรถ


มีเวลานั่งชิวบนรถบัสนะ 555+


และเราก็กลับมาถึงสถานี Naruko-onsen แล้ว


เป็นช่วงที่ใกล้เวลามาเทียบชานชาลาของรถไฟ Resort Minori ซะด้วยสิ! เราเลยไปลองถามนายสถานีซะหน่อย เผื่อฟลุ้คว่านั่งได้ แต่คำตอบก็เป็นอย่างที่คิดคือ "ไม่ได้" นะครับ 555+


หน้าตาของรถไฟ Resort Minori ที่วิ่งวันละขบวนเท่านั้น (ขาไป 1 ขากลับ 1)


นั่นไง! รถไฟกำลังจะจอดที่ชานชาลาอยู่พอดี


เดินเข้าชานชาลามาถ่ายรูปรถไฟสวยงาม Resort Minori ขบวนนี้ซะหน่อย มีบุญได้แค่ดูอยู่ห่างๆ


รถไฟจอดอยู่เพียงไม่กี่นาทีก็แล่นออกไปละ กลายเป็นชานชาลาที่ว่างเปล่าอีกครา


ช่วงระหว่างรอรถไฟขบวนต่อไป(อีกชั่วโมงนึง) ไปนั่งแช่เท้าดีกว่า..


เดินออกมานอกสถานีตรงที่ที่เราเจอบ่อน้ำร้อนก่อนจะไปเที่ยวที่ Naruko Gorge ถลกขากางเกงแล้วนั่งเอาเท้าแช่น้ำร้อนซะเลย ขอบอกว่าร้อนมากเลยนะ จุ่มเท้าตอนแรกนี่ถึงกับสะดุ้งเลยล่ะ


นั่งแช่เท้าอยู่ครึ่งชั่วโมงก็เดินกลับเข้ามาในสถานี ประตูชานชาลายังปิดอยู่เลย เราต้องรอรถไฟกลับสถานี Furukawa รอบ 17.16 น.


ในสถานีรถไฟจะมีเหมือนเป็นศูนย์การเรียนรู้หรือพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กอยู่ ถือเป็นการฆ่าเวลาได้ดีในการเดินดู exhibition ในสถานี นี่คือตุ๊กตาโคเคชิ ซึ่งที่เมืองนี้มีชื่อเสียงในการทำตุ๊กตาไม้โคเคชินี้


ในสถานีจะมี slope ให้นั่งคอยรถไฟด้วยล่ะ นอกจากนั้นแล้วยังมี free wifi ให้เล่นด้วยนะ


จากนั้นก็นั่งเล่นมือถือรอเวลากันไปพลางๆ


ใกล้เวลาที่รถไฟจะมา พอนายสถานีเปิดประตูให้เข้าชานชาลาได้ก็รีบเดินไปเพื่อรอขึ้นรถไฟทันที


เรานั่งรถไฟ JR สาย Rikuu East Line จากสถานี Naruko-onsen เวลา 17.16 น. กลับมาถึงสถานี Furukawa เวลา 17.59 น. แล้วต้องรีบวิ่งไปขึ้นรถไฟชินคังเซ็นที่จะมาถึงในเวลา 18.05 น. ต่อเลย!! ไม่ต้องจองที่นั่งกันละครับ ไปขึ้นรถให้ทันก่อนดีกว่า ถึงไม่มีที่นั่งก็ยืนเอาก็ได้ เพียงแค่ 12 นาที สถานีเดียวเอง


เราขึ้นรถไฟ Shinkansen Hayabusa 112 จากสถานี Furukawa เวลา 18.06 น. กลับมาถึงสถานี Sendai เวลา 18.18 น. ด้วยการยืนตรงบริเวณแถวๆห้องน้ำระหว่างตู้รถไฟมา (ใครบอกรถไฟพวกนี้ยืนไม่ได้คิดใหม่ซะนะ เรายืนมาหมดแล้วทั้งบนชินคังเซ็นและรถไฟ Limited Express)


เย็นนี้ตั้งเป้าไว้แล้วว่าต้องกินซูชิขึ้นชื่อของที่นี่ให้ได้! ที่สถานี Sendai อันกว้างใหญ่นี้ เดินไปทางขวาจนเกือบสุด (ไปทางฝั่งห้าง PARCO) จะมีร้านซูชิอร่อยๆอยู่หลายร้าน และหนึ่งในนั้นคือที่เราเข้าไปกิน ชื่อร้านว่า "Kakisen Ubudo (かき鮮 海風土)"


เซ็ตที่เราสั่งนี้ราคา 2,100 เยน อร่อยล้ำมากๆ ต้องมาซ้ำให้ได้เลย!


สั่งคาขิคัตสึ(หอยนางรมชุบเกล็ดขนมปังทอด)มากินอีกจาน ราคา 1,130 เยน นี่ก็ของขึ้นชื่อของเมืองเซ็นได


หลังจากอิ่มกันแล้ว พวกเราก็เดินออกจากสถานี Sendai ไปเดินเล่นที่ Ichibancho Shopping Street ใกล้ๆสถานีกันต่อ ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรแต่อยากเดินเล่นฆ่าเวลาเพราะคิดว่ากลับที่พักตอนนี้มันเร็วเกินไป 555+


ก่อนกลับที่พัก แวะซื้อซาลาเปาฟุนัชชี่ที่ Family Mart มาด้วยล่ะ! ในที่สุดก็เป็นหนึ่งในล้านคนที่ซื้อ เพราะว่ามันผลิตจำนวนจำกัดล้านชิ้นน่ะ 555+


ถึงจะไปเดินเล่นฆ่าเวลาแล้วก็ยังกลับมาถึงห้องพักเร็วมากเลยอยู่ดี ปกติไม่เคยกลับที่พักก่อนสี่ทุ่มมาก่อน คงเพราะไม่รู้จะทำอะไรดีแล้วด้วย 555+


ยังไงก็ถือว่าได้เวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้นก็แล้วกันเนอะ และพรุ่งนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่จะได้ตะลุยธรรมชาติก่อนกลับเข้าเมืองหลวงแล้วจ้า แล้วพบกันพรุ่งนี้ สวัสดี.


About Puttiano Rossi

"เป้าหมายของเราคือการไปเยี่ยมเยือนให้ครบทั้ง 47 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีก็จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้"

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon
  • Black Twitter Icon
Never Miss a Post!
bottom of page