top of page
  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon
  • Black Twitter Icon

2015.10.03 Japan Trip #9 Day 1 - Let's start from Tokyo

  • Writer: Puttipong Niamsab
    Puttipong Niamsab
  • Jan 26
  • 3 min read

ทริปพิเศษที่มาคั่นก่อนทริปคันไซในช่วงเดือน ธ.ค. ปีนี้ เนื่องจากได้วันลาพักร้อนพิเศษเพิ่มเติมอีก 6 วัน ก็เลยเกิดทริปนี้ขึ้นเพราะสัญญากับคุณแม่เอาไว้ว่าจะพาไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกในปีนี้ ทีแรกจะไปช่วงเดือน ส.ค. แต่งานยุ่งมากๆ สุดท้ายมาลงเอาเดือน ต.ค. นี่ล่ะ ซึ่งจากที่คิดเอาไว้ การไปญี่ปุ่นเดือน ต.ค. ก็ควรไปแถวคันโตน่ะล่ะที่ดูเหมาะสมที่สุดแล้ว คันโตจริงๆไปง่ายมากแต่โอกาสหาจังหวะไปนั้นยากสำหรับเรา เพราะคนร่วมทริปแม่งแทบไม่มีใครยกมือ (ฮา) มีโอกาสแล้วก็เลยไปกับคุณแม่นี่ล่ะ พร้อมตั๋ว Kanto Area Pass 1 ใบ ด้วยภารกิจเสริม "คันโตพาสไปถึงไหนได้บ้าง? ภาคแรก"


chapter นี้คงได้อธิบายด้วยว่าเราจะไปลง research เส้นทางรถไฟทั้งของ JR และรถไฟเอกชนในจังหวัดคานากาว่าอย่างไรบ้าง รวมทั้งการวางแผนการเที่ยวในแบบที่เป็นไปได้ ล้อมกรอบให้แคบด้วยพาส ตีกรอบให้กระชับด้วยงบประมาณอีกที เชื่อเถอะว่า 7 วันนี้มีเงินแค่ 35k บาท(รวมตั๋วเครื่องบิน low cost) ก็อยู่รอดแล้ว


ree

ปฐมบทของ Trip for Mom ในแบบฉบับ Kanto Trip เริ่มขึ้นและจบลงไปแล้ว ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกมากมายจากทริปนี้ ที่เรามีเวลาในการ research การเดินทางเส้นทางต่างๆเต็มที่ ได้ตามรอยรูปที่ค้นเจอในเน็ต(บล๊อกซ้าย) และพยายามไปถ่ายรูปตามแบบที่เห็นในเน็ตนั้นด้วยตัวเอง(บล๊อกขวา) สนุกดีนะ


ree

ตามที่จั่วหัวเอาไว้ใน description ว่าทริปคุณแม่คราวนี้เราเลือกที่จะเที่ยวในภูมิภาคคันโต ซึ่งภูมิภาคนี้ มีพาสรถไฟของ JR East ที่ครอบคลุมอยู่ทั้ง JR East Pass ที่เราเคยใช้มาแล้วเมื่อทริปก่อน(เดือน เม.ย. 2015) และ Kanto Area Pass ตรงๆตัวเลย.. กับเวลา 6 วันในการเที่ยวคราวนี้ เราเลยเลือกใช้ Kanto Area Pass ที่ใช้งานได้ 3 วัน ราคาเบาๆ 8,300 เยน เมื่อเลือกพาสได้แล้ว เราค่อยมากำหนดสถานที่ที่จะเดินทางไปเที่ยวอีกทีนึง


ree

สำรวจเส้นทางสายรถไฟที่ครอบคลุมในพาส Kanto Area Pass นี้กันก่อนสักรอบ พาสนี้สามารถใช้นั่งชินคังเซ็นในเส้นทางขึ้นเหนือได้เกือบทุกสาย ได้แก่ Tohoku Shinkansen, Joetsu Shinkansen และ Hokuriku Shinkansen รวมทั้งรถไฟ Limited Express และรถไฟเอกชนในบางสายได้ด้วย ซึ่งเราสามารถจองที่นั่งรถไฟทั้งชินคังเซ็นและ Limited Express ได้เสมือนใช้ JR Pass ใหญ่เลยล่ะ ไม่มี charge เพิ่ม ไม่มีข้อยกเว้น จองได้หมดถ้าเป็นรถไฟที่วิ่งในเส้นทางดังแผนที่นี้ (แต่ถ้าไปเกินกว่านี้ก็เสียเงินเพิ่มตามระยะที่เราไปเพิ่มจากสถานีที่ครอบคลุมในพาสนะ)


ree

จากนั้นก็เข้าสู่การ research ของเราที่เคยได้หาข้อมูลไว้ตอนที่เขียนข้อมูลท่องเที่ยวลงเพจท่านนายกฯ เราหาข้อมูลไว้ให้แล้วเกี่ยวกับชื่อสายรถไฟ JR ที่วิ่งครอบคลุมอยู่ในพาส Kanto Area Pass นี้เรียบร้อย เป็นข้อมูลสำหรับคนที่สนใจเที่ยวคันโตในแบบลูกทุ่ง unseen นะ


จุดหมายที่เราเลือก 3 ที่เพื่อใช้เดินทางใน 3 วันพาสคือ

1. Hitachi Seaside Park ที่อยู่ในเส้นทาง Joban Line ถัดจากสถานี Mito ไป 1 ป้าย

2. Mount Nasudake อยู่ใกล้กับสถานี Nasu-shiobara ที่เป็นสถานีชินคังเซ็น แน่นอนว่านั่งชินคังเซ็นไปถึงได้พอดิบพอดีเลย

3.อ่าว Shimoda อ่าวสไตล์ตะวันตกที่สามารถนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Izukyu Shimoda ได้ เพราะ Izu Kyoko Line ร่วมอยู่ในพาสนี้ด้วย (จะเห็นว่าไปแบบสุดขอบพาสเลย ตรงตามคอนเซปต์ว่าไปได้ไกลถึงไหนในภารกิจทริปนี้พอดี)


ree

หลังจากกำหนดเป้าหมายการเดินทางโดยใช้ Kanto Area Pass แล้ว เราก็มาเลือกสถานที่ในคันโตที่เราอยากไปและยังไม่มีโอกาสได้ไปเพิ่มเติม ซึ่ง Hakone,Kamakura,Enoshima อยู่ในลิสต์ของเราทั้งหมด ที่พูดว่านี่ล้วนอยู่ในจังหวัดคานากาว่าทั้งนั้น ดังนั้น ภารกิจการเดินทางสำรวจเส้นทางรถไฟเอกชนในจังหวัดคานากาว่าจึงเกิดขึ้น แต่กระนั้น..ภารกิจนี้จะเกิดขึ้นได้ เราต้องหาที่พักในจังหวัดคานากาว่าด้วยนะ


ree

เมื่อระบุสถานที่ที่จะไปเที่ยวได้ครบแล้ว ก็ถึงเวลาวางแผนการเดินทางและที่พัก เพื่อเป็นการลดเวลาเดินทางและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้น้อยลง เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการลง research รถไฟเอกชน 555+ ซึ่งใน 7 วันที่ญี่ปุ่น แบ่งเป็นวันเที่ยวซะ 5 วัน วันเดินทางไปและกลับอีก 2 วัน ก็ได้ประมาณนี้ พอแบ่งแล้ว ถ้าไม่นับวันแรกกับวันสุดท้าย จะเห็นว่า 2 วันแรก(4-5)จะเป็นการเดินทางขึ้นไปทางเหนือของโตเกียว(อิบารากิและโทจิกิ) และอีก3วัน(6-8)จะเป็นการเดินทางลงไปทางใต้ของโตเกียว(ชิสึโอกะและคานากาว่า)


ree

พอลงรายละเอียดการเดินทางเสร็จ ทีนี้ก็ต้องมาเลือกที่พักกันละว่าจะพักที่ไหนดี จากการแบ่งที่บอกไปในรูปก่อน วันที่อยู่โตเกียวคือ 4-5 ต.ค. วันที่อยู่คานากาว่าคือ 6-8 ต.ค. ดังนั้นก็ควรพักที่โตเกียว 2 วัน และไปพักที่คานากาว่าอีก 4 วัน(รวมวันกลับด้วย) พอเป็นแบบนี้ การไปเที่ยว Hakone,Kamakura,Enoshima ก็ไม่จำเป็นต้องใช้พาสของ Odakyu เลย แถมใช้เวลาในการเดินทางสั้นกว่า2-3 เท่าด้วย!


ree

ที่พักในโตเกียว เราเลือกโรงแรม Sotetsu Inn Tokyo Tamachi ที่อยู่ใกล้สถานี Tamachi (ตั้งอยู่ระหว่าง Hamamatsucho กับ Shinagawa) เพราะ 1. ราคามันถูกสุดในระดับที่เรารับได้ (4200 เยน/คน/คืน) 2. อยู่ในเส้นทาง Keihin-Tohoku Line และ Yamanote Line จะได้สะดวกในการเดินทางไปทั้งสถานี Ueno และ Tokyo แล้วยังนั่งรถไฟผ่านไปถึงสถานี Ofuna และ Fujisawa ที่เราจะไปหาที่พักในคานากาว่าด้วย


ree

ส่วนที่พักในจังหวัดคานากาว่า เราเลือก 8 Hotel ที่อยู่ใกล้กับสถานี Fujisawa (ใกล้มากด้วย แค่ 200 เมตร) เพราะ 1. มันใกล้สถานีหลักในคานากาว่าคือ Fujisawa มากๆ 2. ราคาถูกมากๆ (ไม่ถึง3พันเยน/คน/คืน) แถมตัวรร.มันก็ออกแบบในสไตล์ Motel ฝรั่ง โลวๆแต่อินดี้ 3. สถานี Fujisawa เป็นต้นทางในการเดินทางไปเที่ยว Hakone,Kamakura,Enoshima ได้ทั้งหมด ประหยัดทั้งเวลาและค่าเดินทาง ครั้นการไปต่อรถไฟที่ Ofuna ก็นั่งรถไฟแค่สถานีเดียวอีก ถือว่าตรงจุดโคดๆกับการเลือกโรงแรมที่นี่ (ตอนแรกจะเลือกโยโกฮาม่าแล้ว แต่เจออันนี้มันตรงจุดกว่ามาก)


ree

พอใกล้ๆเดินทางแล้วก็ต้องมาดูสภาพอากาศกันซะหน่อย เผื่อจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแผนแบบฉับพลันถ้าเกิดสภาพอากาศวันนั้นแย่เกินบรรยาย เช่นที่ฮาโกเน่งี้ ถ้าเจอฝนตกยาวๆคือเลิกกันเลย แต่พอเช็คดูแล้วปรากฏว่า "แดดดี" ทุกวัน!! แม่เจ้าประคุณ อะไรมันจะลัคกี้ขนาดนั้น แดดออกทุกวันไม่มีทีท่าว่าจะมีฝนเลยในวันเที่ยว ทั้งโตเกียวในช่วง 2-3 วันแรก และคานากาว่าในช่วง 3-4 วันหลัง แล้วพยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นแท้ๆนั้นแม่นยำเกือบ 100% อยู่แล้วด้วย


ree

เอาล่ะ ในเมื่อแพลนการเที่ยวพร้อม จองที่พักแล้ว จองตั๋วเครื่องบินก็นานแล้ว ก็มาเตรียมตัวเดินทางกันเถอะ เอาอะไรไปบ้าง check list กันเอาไว้เลย แล้วแต่คนนะ ในส่วนของเราคือทุกทริป เราเตรียมแค่นี้ก็โอเคแล้ว


ree

ถึงเวลาก็ไปสนามบินดอนเมือง ไฟลท์ของเราในทริปนี้คือ Thai Air Asia X เที่ยวบิน XJ606 เวลาบิน 10.40 น. จะไปถึงสนามบินนาริตะ 19.00 น. แต่มาถึงแล้วไฟลท์ดีเลย์ไปประมาณ 25 นาทีซะอย่างงั้น..


ree

บินเช้าวันเสาร์นี่คนโล่งมาก ส่วนใหญ่คงไปกันตั้งแต่ไฟลท์คืนวันศุกร์ซะมากกว่า บินกลางวันร้านข้าวร้านค้าก็เปิดเยอะกว่าด้วยนา


ree

เดินไปที่เกทก็โล่งตลอดทาง ถือว่าดี (วันเดินทางฝนตกหนักตั้งแต่เช้ามืดด้วย แต่ฝนหยุดก่อนเวลา take off พอดี)


ree

ขึ้นเครื่องแล้วครับ อีก 6 ชั่วโมงเจอกัน!


ree

ลงเครื่องแล้วผ่านตม.ไปรับกระเป๋าเดินทาง และออกมาตรงสถานีรถไฟภายในเวลาแค่ 30 นาที คือเร็วสุดแล้วตั้งแต่มาญี่ปุ่น เร็วมาก เพราะผิดเป็นครูมาหลายครั้ง


ree

ทีนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเลือกการเดินทางเข้าเมืองแล้วว่าจะใช้บริการรถไฟ JR หรือ Keisei ดี?


ree

จากการที่เราต้องซื้อ Kanto Area Pass ของ JR อยู่แล้ว เราเลยเลือกที่จะซื้อตั๋ว NEX Round Trip Ticket ด้วย ในราคา 4,000 เยน จะได้ต่อแถวทีเดียวจบ ซึ่งก็โชคดีอีกที่แถวคิวสั้นพอดี แป๊บเดียวเสร็จ เงินบินไป 25k เยน(รวมของแม่ด้วย)


ree

ที่สถานีสนามบินนาริตะ จุดขายพาสรถไฟจะมีอยู่ 2 ที่แต่เปิดขายและ exchange พาสครั้งละจุดเท่านั้น จุดนี้คือ JR EAST Travel Service Center จะเปิดทำการ 08.15 - 20.00 น.


ree

ส่วนจุดนี้คือ Ticket Counter Service ธรรมดา เปิดทำการ 06.00 - 08.15 น. และ 20.00 - 21.45 น.


ree

นี่คือ Kanto Area Pass พระเอกของทริปนี้ ราคาใบละ 8,300 เยน ใช้ได้ 3 วันติดต่อกัน ตอนซื้อต้องแจ้งวันเปิดใช้กับเจ้าหน้าที่ด้วยนะว่าเริ่มใช้วันไหน เพราะงั้นวางแผนเดินทางไว้แต่เนิ่นๆนะถ้าจะใช้พาสนี้ ส่วนเราจะเปิดใช้งานพรุ่งนี้เป็นวันแรก


ree

นี่คือบัตร NEX ขาเดินทางเข้าโตเกียว จองที่นั่งรถไฟเรียบร้อย และเค้าจะให้ตั๋วสำหรับเดินทางกลับมาอีกใบนึง ซึ่งขากลับเราต้องเอาตั๋วไปจองที่นั่งขากลับที่ Midori no Madoguchi (ช่องเก้าอี้เขียว) ที่สถานี JR ทั่วไปอีกที


ree

เมื่อซื้อพาสเรียบร้อย ก็ได้เวลานั่งรถไฟเข้ากรุงกันละ ไปที่ชานชาลากันเลยๆ


ree

เริ่มต้นรอรถไฟจากสถานี Narita Airport Terminal 2-3


ree

ระหว่างรอนี่ก็จะมีรถไฟ JR สาย Narita Line วิ่งผ่านเป็นระยะๆ


ree

และพระเอกของเราก็มาถึง รถไฟ Narita Express 52 ออกจากสถานี 20.47 น. ไปถึงโตเกียว 21.43 น.


ree

ขึ้นรถไฟมาแล้ว ช่วงเวลาค่ำมืดขนาดนี้ คนจะน้อยก็ไม่แปลกอะไร


ree

ก่อนขึ้นรถไฟนั้นเราชวนคุณแม่ไปหยิบข้าวกล่องที่คมบินิในสนามบินมากินบนรถไฟกัน เพราะนี่ก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว(เวลาไทยก็ทุ่มนึง) ได้เวลากินข้าวพอดี พรุ่งนี้ค่อยเริ่มปรับตัวเป็นเวลาที่ญี่ปุ่นเนอะ


ree

นั่งรถไฟมาถึงสถานีโตเกียวแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือไปจองตั๋วรถไฟเพื่อไปเที่ยวสวนฮิตะจิในวันพรุ่งนี้ด้วย Kanto Area Pass ตอนนี้เค้าปิดปรับปรุงเค้าน์เตอร์ใหญ่ไป เลยต้องไปเดินตามหาเค้าน์เตอร์ย่อยเอาแถว North Exit ตั้งนาน ไม่ชอบเลยเวลาที่อะไรต่างๆมันเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนสถานที่ไปจากเดิม เสียเวลาเดินตามหาเอามากๆ..


ree

หลังจองตั๋วรถไฟพรุ่งนี้(ที่จริงจองพรุ่งนี้ก็คงได้ เพราะคนโล่งมาก) ก็ได้เวลานั่งรถไฟไปเข้าที่พักแล้ว จากสถานี Tokyo ไป Tamachi เรานั่งรถไฟ JR สาย Keihin-Tohoku Line ไป ระยะทางแค่ 4 สถานีเท่านั้นเอง


ree

และเราก็มาถึงสถานี Tamachi เป็นที่เรียบร้อย


ree

จากสถานี Tamachi เดินอีกประมาณ 500 เมตรก็ถึงที่พักแล้ว โรงแรม Sotetsu Fresa Inn Tamachi มาถึงโรงแรมตอน 5 ทุ่มก็ยังสามารถเช็คอินเข้าพักทันอยู่


ree

เช็คอินรับคีย์การ์ดขึ้นห้องมาเรียบร้อย ได้เวลาพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมตะลุยเที่ยวในวันถัดๆไป


ree

ห้องน้ำของโรงแรมก็ดูดีตามปกติ ไม่แคบไม่กว้าง


ree

หลังจากอาบน้ำแล้ว ก็มานั่งเตรียมแผนการเดินทางพรุ่งนี้แบบย่อๆ เดี๋ยวเราจะไปเยือน Hitachi Seaside Park กันในวันพรุ่งนี้นะ! ไม่รู้ว่าช่วงต้นเดือน ต.ค. แบบนี้จะสวยสะพรั่งได้ขนาดไหนเพราะมาก่อนช่วงพีค แต่ก็อยากที่จะได้เห็นต้นโคเคียสีแดงสักนิดก็ยังดี


หวังว่าเราจะมีโชคเข้าข้างอยู่บ้างนะ!

Comments


About Puttiano Rossi

"เป้าหมายของเราคือการไปเยี่ยมเยือนให้ครบทั้ง 47 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีก็จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้"

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon
  • Black Twitter Icon
Never Miss a Post!

ชีวิตการท่องเที่ยวญี่ปุ่นและการเป็นติ่งรถไฟญี่ปุ่นของ Puttiano Rossi

  • Grey Facebook Icon
  • Grey Instagram Icon
  • Grey Twitter Icon

"เป้าหมายของเราคือการไปเยี่ยมเยือนให้ครบทั้ง 47 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีก็จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้"

© 2023 by Extreme Blog. Proudly created with Wix.com

bottom of page