top of page
  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon
  • Black Twitter Icon

2015.10.03 Japan Trip #9 Day 1 - Let's start from Tokyo

ทริปพิเศษที่มาคั่นก่อนทริปคันไซในช่วงเดือน ธ.ค. ปีนี้ เนื่องจากได้วันลาพักร้อนพิเศษเพิ่มเติมอีก 6 วัน ก็เลยเกิดทริปนี้ขึ้นเพราะสัญญากับคุณแม่เอาไว้ว่าจะพาไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกในปีนี้ ทีแรกจะไปช่วงเดือน ส.ค. แต่งานยุ่งมากๆ สุดท้ายมาลงเอาเดือน ต.ค. นี่ล่ะ ซึ่งจากที่คิดเอาไว้ การไปญี่ปุ่นเดือน ต.ค. ก็ควรไปแถวคันโตน่ะล่ะที่ดูเหมาะสมที่สุดแล้ว คันโตจริงๆไปง่ายมากแต่โอกาสหาจังหวะไปนั้นยากสำหรับเรา เพราะคนร่วมทริปแม่งแทบไม่มีใครยกมือ (ฮา) มีโอกาสแล้วก็เลยไปกับคุณแม่นี่ล่ะ พร้อมตั๋ว Kanto Area Pass 1 ใบ ด้วยภารกิจเสริม "คันโตพาสไปถึงไหนได้บ้าง? ภาคแรก"


chapter นี้คงได้อธิบายด้วยว่าเราจะไปลง research เส้นทางรถไฟทั้งของ JR และรถไฟเอกชนในจังหวัดคานากาว่าอย่างไรบ้าง รวมทั้งการวางแผนการเที่ยวในแบบที่เป็นไปได้ ล้อมกรอบให้แคบด้วยพาส ตีกรอบให้กระชับด้วยงบประมาณอีกที เชื่อเถอะว่า 7 วันนี้มีเงินแค่ 35k บาท(รวมตั๋วเครื่องบิน low cost) ก็อยู่รอดแล้ว


ปฐมบทของ Trip for Mom ในแบบฉบับ Kanto Trip เริ่มขึ้นและจบลงไปแล้ว ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกมากมายจากทริปนี้ ที่เรามีเวลาในการ research การเดินทางเส้นทางต่างๆเต็มที่ ได้ตามรอยรูปที่ค้นเจอในเน็ต(บล๊อกซ้าย) และพยายามไปถ่ายรูปตามแบบที่เห็นในเน็ตนั้นด้วยตัวเอง(บล๊อกขวา) สนุกดีนะ


ตามที่จั่วหัวเอาไว้ใน description ว่าทริปคุณแม่คราวนี้เราเลือกที่จะเที่ยวในภูมิภาคคันโต ซึ่งภูมิภาคนี้ มีพาสรถไฟของ JR East ที่ครอบคลุมอยู่ทั้ง JR East Pass ที่เราเคยใช้มาแล้วเมื่อทริปก่อน(เดือน เม.ย. 2015) และ Kanto Area Pass ตรงๆตัวเลย.. กับเวลา 6 วันในการเที่ยวคราวนี้ เราเลยเลือกใช้ Kanto Area Pass ที่ใช้งานได้ 3 วัน ราคาเบาๆ 8,300 เยน เมื่อเลือกพาสได้แล้ว เราค่อยมากำหนดสถานที่ที่จะเดินทางไปเที่ยวอีกทีนึง


สำรวจเส้นทางสายรถไฟที่ครอบคลุมในพาส Kanto Area Pass นี้กันก่อนสักรอบ พาสนี้สามารถใช้นั่งชินคังเซ็นในเส้นทางขึ้นเหนือได้เกือบทุกสาย ได้แก่ Tohoku Shinkansen, Joetsu Shinkansen และ Hokuriku Shinkansen รวมทั้งรถไฟ Limited Express และรถไฟเอกชนในบางสายได้ด้วย ซึ่งเราสามารถจองที่นั่งรถไฟทั้งชินคังเซ็นและ Limited Express ได้เสมือนใช้ JR Pass ใหญ่เลยล่ะ ไม่มี charge เพิ่ม ไม่มีข้อยกเว้น จองได้หมดถ้าเป็นรถไฟที่วิ่งในเส้นทางดังแผนที่นี้ (แต่ถ้าไปเกินกว่านี้ก็เสียเงินเพิ่มตามระยะที่เราไปเพิ่มจากสถานีที่ครอบคลุมในพาสนะ)


จากนั้นก็เข้าสู่การ research ของเราที่เคยได้หาข้อมูลไว้ตอนที่เขียนข้อมูลท่องเที่ยวลงเพจท่านนายกฯ เราหาข้อมูลไว้ให้แล้วเกี่ยวกับชื่อสายรถไฟ JR ที่วิ่งครอบคลุมอยู่ในพาส Kanto Area Pass นี้เรียบร้อย เป็นข้อมูลสำหรับคนที่สนใจเที่ยวคันโตในแบบลูกทุ่ง unseen นะ


จุดหมายที่เราเลือก 3 ที่เพื่อใช้เดินทางใน 3 วันพาสคือ

1. Hitachi Seaside Park ที่อยู่ในเส้นทาง Joban Line ถัดจากสถานี Mito ไป 1 ป้าย

2. Mount Nasudake อยู่ใกล้กับสถานี Nasu-shiobara ที่เป็นสถานีชินคังเซ็น แน่นอนว่านั่งชินคังเซ็นไปถึงได้พอดิบพอดีเลย

3.อ่าว Shimoda อ่าวสไตล์ตะวันตกที่สามารถนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Izukyu Shimoda ได้ เพราะ Izu Kyoko Line ร่วมอยู่ในพาสนี้ด้วย (จะเห็นว่าไปแบบสุดขอบพาสเลย ตรงตามคอนเซปต์ว่าไปได้ไกลถึงไหนในภารกิจทริปนี้พอดี)


หลังจากกำหนดเป้าหมายการเดินทางโดยใช้ Kanto Area Pass แล้ว เราก็มาเลือกสถานที่ในคันโตที่เราอยากไปและยังไม่มีโอกาสได้ไปเพิ่มเติม ซึ่ง Hakone,Kamakura,Enoshima อยู่ในลิสต์ของเราทั้งหมด ที่พูดว่านี่ล้วนอยู่ในจังหวัดคานากาว่าทั้งนั้น ดังนั้น ภารกิจการเดินทางสำรวจเส้นทางรถไฟเอกชนในจังหวัดคานากาว่าจึงเกิดขึ้น แต่กระนั้น..ภารกิจนี้จะเกิดขึ้นได้ เราต้องหาที่พักในจังหวัดคานากาว่าด้วยนะ


เมื่อระบุสถานที่ที่จะไปเที่ยวได้ครบแล้ว ก็ถึงเวลาวางแผนการเดินทางและที่พัก เพื่อเป็นการลดเวลาเดินทางและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้น้อยลง เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการลง research รถไฟเอกชน 555+ ซึ่งใน 7 วันที่ญี่ปุ่น แบ่งเป็นวันเที่ยวซะ 5 วัน วันเดินทางไปและกลับอีก 2 วัน ก็ได้ประมาณนี้ พอแบ่งแล้ว ถ้าไม่นับวันแรกกับวันสุดท้าย จะเห็นว่า 2 วันแรก(4-5)จะเป็นการเดินทางขึ้นไปทางเหนือของโตเกียว(อิบารากิและโทจิกิ) และอีก3วัน(6-8)จะเป็นการเดินทางลงไปทางใต้ของโตเกียว(ชิสึโอกะและคานากาว่า)


พอลงรายละเอียดการเดินทางเสร็จ ทีนี้ก็ต้องมาเลือกที่พักกันละว่าจะพักที่ไหนดี จากการแบ่งที่บอกไปในรูปก่อน วันที่อยู่โตเกียวคือ 4-5 ต.ค. วันที่อยู่คานากาว่าคือ 6-8 ต.ค. ดังนั้นก็ควรพักที่โตเกียว 2 วัน และไปพักที่คานากาว่าอีก 4 วัน(รวมวันกลับด้วย) พอเป็นแบบนี้ การไปเที่ยว Hakone,Kamakura,Enoshima ก็ไม่จำเป็นต้องใช้พาสของ Odakyu เลย แถมใช้เวลาในการเดินทางสั้นกว่า2-3 เท่าด้วย!


ที่พักในโตเกียว เราเลือกโรงแรม Sotetsu Inn Tokyo Tamachi ที่อยู่ใกล้สถานี Tamachi (ตั้งอยู่ระหว่าง Hamamatsucho กับ Shinagawa) เพราะ 1. ราคามันถูกสุดในระดับที่เรารับได้ (4200 เยน/คน/คืน) 2. อยู่ในเส้นทาง Keihin-Tohoku Line และ Yamanote Line จะได้สะดวกในการเดินทางไปทั้งสถานี Ueno และ Tokyo แล้วยังนั่งรถไฟผ่านไปถึงสถานี Ofuna และ Fujisawa ที่เราจะไปหาที่พักในคานากาว่าด้วย


ส่วนที่พักในจังหวัดคานากาว่า เราเลือก 8 Hotel ที่อยู่ใกล้กับสถานี Fujisawa (ใกล้มากด้วย แค่ 200 เมตร) เพราะ 1. มันใกล้สถานีหลักในคานากาว่าคือ Fujisawa มากๆ 2. ราคาถูกมากๆ (ไม่ถึง3พันเยน/คน/คืน) แถมตัวรร.มันก็ออกแบบในสไตล์ Motel ฝรั่ง โลวๆแต่อินดี้ 3. สถานี Fujisawa เป็นต้นทางในการเดินทางไปเที่ยว Hakone,Kamakura,Enoshima ได้ทั้งหมด ประหยัดทั้งเวลาและค่าเดินทาง ครั้นการไปต่อรถไฟที่ Ofuna ก็นั่งรถไฟแค่สถานีเดียวอีก ถือว่าตรงจุดโคดๆกับการเลือกโรงแรมที่นี่ (ตอนแรกจะเลือกโยโกฮาม่าแล้ว แต่เจออันนี้มันตรงจุดกว่ามาก)


พอใกล้ๆเดินทางแล้วก็ต้องมาดูสภาพอากาศกันซะหน่อย เผื่อจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแผนแบบฉับพลันถ้าเกิดสภาพอากาศวันนั้นแย่เกินบรรยาย เช่นที่ฮาโกเน่งี้ ถ้าเจอฝนตกยาวๆคือเลิกกันเลย แต่พอเช็คดูแล้วปรากฏว่า "แดดดี" ทุกวัน!! แม่เจ้าประคุณ อะไรมันจะลัคกี้ขนาดนั้น แดดออกทุกวันไม่มีทีท่าว่าจะมีฝนเลยในวันเที่ยว ทั้งโตเกียวในช่วง 2-3 วันแรก และคานากาว่าในช่วง 3-4 วันหลัง แล้วพยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นแท้ๆนั้นแม่นยำเกือบ 100% อยู่แล้วด้วย


เอาล่ะ ในเมื่อแพลนการเที่ยวพร้อม จองที่พักแล้ว จองตั๋วเครื่องบินก็นานแล้ว ก็มาเตรียมตัวเดินทางกันเถอะ เอาอะไรไปบ้าง check list กันเอาไว้เลย แล้วแต่คนนะ ในส่วนของเราคือทุกทริป เราเตรียมแค่นี้ก็โอเคแล้ว


ถึงเวลาก็ไปสนามบินดอนเมือง ไฟลท์ของเราในทริปนี้คือ Thai Air Asia X เที่ยวบิน XJ606 เวลาบิน 10.40 น. จะไปถึงสนามบินนาริตะ 19.00 น. แต่มาถึงแล้วไฟลท์ดีเลย์ไปประมาณ 25 นาทีซะอย่างงั้น..


บินเช้าวันเสาร์นี่คนโล่งมาก ส่วนใหญ่คงไปกันตั้งแต่ไฟลท์คืนวันศุกร์ซะมากกว่า บินกลางวันร้านข้าวร้านค้าก็เปิดเยอะกว่าด้วยนา


เดินไปที่เกทก็โล่งตลอดทาง ถือว่าดี (วันเดินทางฝนตกหนักตั้งแต่เช้ามืดด้วย แต่ฝนหยุดก่อนเวลา take off พอดี)


ขึ้นเครื่องแล้วครับ อีก 6 ชั่วโมงเจอกัน!


ลงเครื่องแล้วผ่านตม.ไปรับกระเป๋าเดินทาง และออกมาตรงสถานีรถไฟภายในเวลาแค่ 30 นาที คือเร็วสุดแล้วตั้งแต่มาญี่ปุ่น เร็วมาก เพราะผิดเป็นครูมาหลายครั้ง


ทีนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเลือกการเดินทางเข้าเมืองแล้วว่าจะใช้บริการรถไฟ JR หรือ Keisei ดี?


จากการที่เราต้องซื้อ Kanto Area Pass ของ JR อยู่แล้ว เราเลยเลือกที่จะซื้อตั๋ว NEX Round Trip Ticket ด้วย ในราคา 4,000 เยน จะได้ต่อแถวทีเดียวจบ ซึ่งก็โชคดีอีกที่แถวคิวสั้นพอดี แป๊บเดียวเสร็จ เงินบินไป 25k เยน(รวมของแม่ด้วย)


ที่สถานีสนามบินนาริตะ จุดขายพาสรถไฟจะมีอยู่ 2 ที่แต่เปิดขายและ exchange พาสครั้งละจุดเท่านั้น จุดนี้คือ JR EAST Travel Service Center จะเปิดทำการ 08.15 - 20.00 น.


ส่วนจุดนี้คือ Ticket Counter Service ธรรมดา เปิดทำการ 06.00 - 08.15 น. และ 20.00 - 21.45 น.


นี่คือ Kanto Area Pass พระเอกของทริปนี้ ราคาใบละ 8,300 เยน ใช้ได้ 3 วันติดต่อกัน ตอนซื้อต้องแจ้งวันเปิดใช้กับเจ้าหน้าที่ด้วยนะว่าเริ่มใช้วันไหน เพราะงั้นวางแผนเดินทางไว้แต่เนิ่นๆนะถ้าจะใช้พาสนี้ ส่วนเราจะเปิดใช้งานพรุ่งนี้เป็นวันแรก


นี่คือบัตร NEX ขาเดินทางเข้าโตเกียว จองที่นั่งรถไฟเรียบร้อย และเค้าจะให้ตั๋วสำหรับเดินทางกลับมาอีกใบนึง ซึ่งขากลับเราต้องเอาตั๋วไปจองที่นั่งขากลับที่ Midori no Madoguchi (ช่องเก้าอี้เขียว) ที่สถานี JR ทั่วไปอีกที


เมื่อซื้อพาสเรียบร้อย ก็ได้เวลานั่งรถไฟเข้ากรุงกันละ ไปที่ชานชาลากันเลยๆ


เริ่มต้นรอรถไฟจากสถานี Narita Airport Terminal 2-3


ระหว่างรอนี่ก็จะมีรถไฟ JR สาย Narita Line วิ่งผ่านเป็นระยะๆ


และพระเอกของเราก็มาถึง รถไฟ Narita Express 52 ออกจากสถานี 20.47 น. ไปถึงโตเกียว 21.43 น.


ขึ้นรถไฟมาแล้ว ช่วงเวลาค่ำมืดขนาดนี้ คนจะน้อยก็ไม่แปลกอะไร


ก่อนขึ้นรถไฟนั้นเราชวนคุณแม่ไปหยิบข้าวกล่องที่คมบินิในสนามบินมากินบนรถไฟกัน เพราะนี่ก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว(เวลาไทยก็ทุ่มนึง) ได้เวลากินข้าวพอดี พรุ่งนี้ค่อยเริ่มปรับตัวเป็นเวลาที่ญี่ปุ่นเนอะ


นั่งรถไฟมาถึงสถานีโตเกียวแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือไปจองตั๋วรถไฟเพื่อไปเที่ยวสวนฮิตะจิในวันพรุ่งนี้ด้วย Kanto Area Pass ตอนนี้เค้าปิดปรับปรุงเค้าน์เตอร์ใหญ่ไป เลยต้องไปเดินตามหาเค้าน์เตอร์ย่อยเอาแถว North Exit ตั้งนาน ไม่ชอบเลยเวลาที่อะไรต่างๆมันเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนสถานที่ไปจากเดิม เสียเวลาเดินตามหาเอามากๆ..


หลังจองตั๋วรถไฟพรุ่งนี้(ที่จริงจองพรุ่งนี้ก็คงได้ เพราะคนโล่งมาก) ก็ได้เวลานั่งรถไฟไปเข้าที่พักแล้ว จากสถานี Tokyo ไป Tamachi เรานั่งรถไฟ JR สาย Keihin-Tohoku Line ไป ระยะทางแค่ 4 สถานีเท่านั้นเอง


และเราก็มาถึงสถานี Tamachi เป็นที่เรียบร้อย


จากสถานี Tamachi เดินอีกประมาณ 500 เมตรก็ถึงที่พักแล้ว โรงแรม Sotetsu Fresa Inn Tamachi มาถึงโรงแรมตอน 5 ทุ่มก็ยังสามารถเช็คอินเข้าพักทันอยู่


เช็คอินรับคีย์การ์ดขึ้นห้องมาเรียบร้อย ได้เวลาพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมตะลุยเที่ยวในวันถัดๆไป


ห้องน้ำของโรงแรมก็ดูดีตามปกติ ไม่แคบไม่กว้าง


หลังจากอาบน้ำแล้ว ก็มานั่งเตรียมแผนการเดินทางพรุ่งนี้แบบย่อๆ เดี๋ยวเราจะไปเยือน Hitachi Seaside Park กันในวันพรุ่งนี้นะ! ไม่รู้ว่าช่วงต้นเดือน ต.ค. แบบนี้จะสวยสะพรั่งได้ขนาดไหนเพราะมาก่อนช่วงพีค แต่ก็อยากที่จะได้เห็นต้นโคเคียสีแดงสักนิดก็ยังดี


หวังว่าเราจะมีโชคเข้าข้างอยู่บ้างนะ!

 

Comments


About Puttiano Rossi

"เป้าหมายของเราคือการไปเยี่ยมเยือนให้ครบทั้ง 47 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีก็จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้"

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon
  • Black Twitter Icon
Never Miss a Post!

ชีวิตการท่องเที่ยวญี่ปุ่นและการเป็นติ่งรถไฟญี่ปุ่นของ Puttiano Rossi

  • Grey Facebook Icon
  • Grey Instagram Icon
  • Grey Twitter Icon

"เป้าหมายของเราคือการไปเยี่ยมเยือนให้ครบทั้ง 47 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีก็จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้"

© 2023 by Extreme Blog. Proudly created with Wix.com

bottom of page