top of page

2015.04.09 Japan Trip #8 Day1 - Yokohama

ทริปนี้จะเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้บริการสายการบินแบบ Low Cost คือ Thai Air Asia X ก็ถือได้ว่าเป็นการประเดิมการบินแบบที่ไม่ใช่ full service ไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก


ตามแพลนเที่ยววันแรกคือหลังจากเก็บกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เราจะไปโยโกฮาม่าด้วยรถไฟ Tokyu Toyoko Line สายรถไฟเอกชนของโทคิวที่ตัวเราเคยทำรีวิวข้อมูลของรถไฟสายนี้เอาไว้ในเพจเมื่อปลายปีที่แล้ว พอรู้มาว่าที่โยโกฮาม่านั้นอากาศดีและวิวทะเลสวย เลยอยากจะไปสัมผัสด้วยตาตัวเองสักครั้งสองครั้งว่าจะเทียบกับโกเบหรือฮาโกดาเตะได้มั้ยนะ!?! Let's go!


หลังจากที่เริ่มต้นมีสายการบินแบบ Low Cost ให้บริการในเส้นทางไทย-ญี่ปุ่น ก็คือ Thai Air Asia X เราก็ตัดสินใจลองใช้บริการทันที เราจองตั๋วไว้ 6 เดือนก่อนบินเรียกว่าจองกันตั้งแต่ประกาศเปิดเส้นทางการบินเลย ราคาตั๋วรวมเสร็จสรรพ 14,xxx บาท นี่คือถูกที่สุดตั้งแต่ไปญี่ปุ่นมาเลยนะ!


อย่างที่รู้กันว่าขึ้นชื่อว่าเป็น Air Asia นี่คนไทยแทบทั้งลำแน่นอน สายการบินนี้จะต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ไฟลท์บินของเราเป็นไฟลท์เที่ยงคืนไปถึงญี่ปุ่น 7 โมงเช้า เราเตรียมพร้อมลากกระเป๋าเดินทางไปทำงานตั้งแต่ตอนเช้าเลย เพื่อที่จะได้ออกจากที่ทำงานไปสนามบินต่อ ซึ่งการเดินทางจากที่ทำงานไปสนามบินดอนเมืองนั้นง่ายและใช้เวลาน้อยกว่าเดินทางจากบ้านมาก(ยิ่งเป็นช่วงหลังเลิกงานที่รถติดสุดๆด้วยแล้ว)

เรานั่งแท็กซี่มาถึงสนามบินประมาณทุ่มตรง ก่อนเวลาเค้าน์เตอร์จะเปิดให้ checkin ตั้งชั่วโมงครึ่งแน่ะ! แต่ก็เริ่มมีคณะนักท่องเที่ยวทยอยมาต่อแถวกันแล้ว เราก็เลยต้องลากกระเป๋ามายืนต่อคิวตาม เพราะกลัวท้ายแถวจะยาวจนต้องรอนาน ขนาดมายืนรอต่อแต่เนิ่นๆยังกินเวลารอหลังจากเค้าน์เตอร์เปิดไปตั้ง 30-40 นาทีแน่ะ


ไฟลท์ของเรา XJ600 บิน 23.50 น. กำหนดถึงสนามบินนาริตะ 07.15 น. (ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงนิดๆเท่านั้นเอง)


ขึ้นเครื่องแล้วจ้า ระหว่างโดยสารบนเครื่องเราประทับใจคณะแอร์โฮสเตสและสจ๊วร์ตนำโดยคุณทรายสีเพลิงมากกกกกกก ประกาศแต่ละที ฮาทุกดอกเลย ขำก๊ากกกกก 555+ ชอบมากเลย เอนเตอร์เทนผู้โดยสารได้ดี


อ้อ! ตามที่รู้ข่าวมา สายเครื่องบิน low cost ต่อไปจะต้องไปลงที่สนามบินนาริตะ terminal ที่ 3 แล้วนะ ซึ่งเจ้า terminal ที่ 3 นี้เพิ่งจะเปิดบริการแบบสดๆร้อนๆเมื่อวานนี้(8 เม.ย.)เอง พอเราไปถึงก็จะเป็นการเปิดบริการวันที่ 2 คือได้ลองของใหม่เลย


ถึงแล้วจ้า ไฟลท์นี้มาถึงตรงเวลามาก เดินเข้าสู่สนามบินนาริตะ terminal ที่ 3 อากาศหนาวเหน็บรอต้อนรับกันเลยทีเดียว!

ทางเดินทอดยาวคล้ายกับ terminal ที่ 1 เลย ตกแต่งภายในเรียบง่ายเหมือนกันด้วย


ที่กำลังเดินอยู่นี้คือเราจะต้องเดินไปบรรจบที่ terminal ที่ 2 เพื่อผ่านตม.และขึ้นรถไฟเข้าเมืองที่นั่น


ตรงนี้คือทางเชื่อมยาวๆระหว่าง terminal ที่ 2 กับ 3 ล่ะ กระจกพาโนราม่ายืนชมวิวเครื่องบินได้ (และคนไทยเยอะมาก ช่วงใกล้หยุดสงกรานต์น่ะ)


หลังจากผ่านตม.และ custom แล้ว ก็ได้เวลานั่งรถไฟเข้าเมือง ทริปนี้เราลองใช้บริการรถไฟ Keisei Skyliner ดู เพราะว่ามันมีแพ๊คเกจ round trip + ตั๋ว tokyo subway ให้เลือก เดี๋ยวเดินลงไปที่สถานีรถไฟกัน


หน้าตาเค้าน์เตอร์ซื้อตั๋วรถไฟของ Keisei และ JR ที่สนามบินนาริตะ terminal ที่ 2 นั้นเหมือนกับ terminal ที่ 1 เด๊ะๆเลย และจำนวนคนก็เหมือนกันคือรถไฟ JR มีจำนวนคิวที่ยาวกว่ารถไฟ Keisei 2-3 เท่าตัว (เพราะคนใช้ JR Pass กันเยอะ) คนน้อยกว่าก็รวดเร็วกว่ามาก Keisei คนต่อคิวซื้อไม่เยอะเท่า NEX ของ JR


พูดถึงรถไฟ Keisei Skyliner กันนิดนึง รถไฟนี้จะเป็นรถไฟด่วนที่วิ่งเข้าเมืองระหว่างสถานี Narita Airport Terminal 1 และ 2 ไปจอดที่สถานี Nippori และ Keisei-Ueno จอดเฉพาะสถานีแค่นี้ ไม่จอดกลางทางก็เลยรวดเร็วถึงใจมาก ใช้เวลาเพียง 30-40 นาทีเท่านั้นแล้วแต่ว่าขึ้น-ลงที่สถานีไหน อย่างเราจะไปลงที่สถานี Nippori ก็จะเร็วกว่าลงที่สถานี Ueno นิดนึง


แพ๊คเกจตั๋ว Keisei Skyliner แบบ one way หรือ round trip + ตั๋ว Tokyo Subway ที่มีหลายแบบในราคาต่างๆกัน สำหรับทริปนี้เราเลือกซื้อแบบ round trip + ตั๋ว Tokyo Subway แบบ 1-day pass ราคา 4,700 เยน


เมื่อซื้อตั๋วที่เค้าน์เตอร์ เจ้าหน้าที่จะออกตั๋วโดยสารขาไปให้อย่างเดียวก่อน ซึ่งรถไฟ Skyliner จะเหมือนกับรถไฟ Limited Express ของรถไฟ JR คือต้องจองที่นั่งทุกครั้ง(บังคับตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วเลย) และเจ้าหน้าที่จะให้ตั๋วขากลับที่ยังไม่ได้จองที่นั่งให้เราเก็บไว้ พอตอนขากลับก็เอาตั๋วนั้นไปจองที่นั่งที่สถานี Ueno หรือ Nippori อีกที ตั๋วของเรานี้คือรถไฟ Skyliner No.6 รถออกเวลา 9.27 น. ที่นั่งอยู่ตู้ที่ 2 ที่นั่ง 9A


เมื่อซื้อตั๋วรถไฟเรียบร้อยแล้วก็ไปรอรถที่ชานชาลา ซึ่งเป็นชานชาลาเดียวกันกับรถไฟ Keisei ขบวน Sky Access Line เลย


มาทบทวนกันอีกครั้งให้เข้าใจง่าย ทริปนี้เราได้ลองซื้อแพ๊คเกจตั๋ว round trip ของ Keisei Skyliner ในการเข้าเมืองโตเกียว ที่ปกติเราจะนั่งรถไฟ Keisei สาย Main Line ธรรมดาๆที่มันจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งได้(ในราคาพันเยนซึ่งก็สมเหตุสมผล)


ขึ้นรถไฟมาแล้ว ภายในขบวนนั้นผู้โดยสารค่อนข้างน้อย อาจจะเพราะเป็นช่วงเวลาเช้าเข้าเมือง


ระหว่างอยู่บนรถไฟก็ได้เวลาหยิบเอา Pocket Wifi ที่เช่ามาจากเว็บ Wifi Rental JP จ้าวประจำออกมาเปิดใช้งาน จองมาใช้ในทริปนี้ได้เครื่องรุ่นใหม่ รุ่น GL04P ล่ะ


เรานั่งรถไฟ Keisei Skyliner No.6 รถออกจากสถานี Narita Airport Terminal 2-3 เวลา 9.27 น. มาถึงสถานี Nippori เวลา 10.09 น. รวมใช้เวลาเดินทาง 42 นาทีในการเข้าเมืองด้วยเจ้ารถไฟ Skyliner นี้

ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปคู่กับรถไฟ Keisei Skyliner เอาไว้


จากนั้นก็เอาตั๋วรถไฟไป exchange เป็นตั๋วของรถไฟ JR อีกทีเพราะต้องเปลี่ยนสายรถไฟไปขึ้นรถไฟ JR สาย Joban Line เพื่อไปลงที่สถานี Minami-senju ซึ่งรถไฟ Joban Line นี้ วิ่งสุดสายที่สถานี Ueno เลย หรือถ้ารวมเป็นสายใหม่คือสาย Ueno-Tokyo Line ก็จะวิ่งไปถึงสถานี Tokyo เลยด้วย


ที่พักที่เราจองไว้อยู่ที่มินะมิเซ็นจู ย่านนี้มีทั้งรถไฟ JR และ Tokyo Metro ทำให้ง่ายต่อการเลือกเดินทาง ที่พักของเราต้องเดินข้ามสะพานทางรถไฟลงไปทางทิศใต้ประมาณกิโลกว่าๆ


ที่พักคราวนี้ลองใช้บริการ Hotel Palace Japan ดู ห้อง single room ราคาคืนละ 3,800 เยนล่ะ ค่าห้องพักจะแพงกว่า Juyoh Hotel ที่เดิมที่เคยพักในย่านเดียวกันนี้นิดหน่อย แต่ที่นี่มีห้องน้ำรวมอยู่ทุกชั้นของโรงแรม แล้วก็ในห้องพักมีทีวีให้ด้วย! (เราพักที่นี่ยาวตลอดทั้งทริป 10 คืนรวด)


หลังจากเก็บกระเป๋าฝากไว้ที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเดินหามื้อเที่ยงกิน คุณป้าพนักงานที่ล็อบบี้ของโรงแรมแนะนำว่ามี community mall ชื่อว่าห้าง LaLa Terrace อยู่เลยสถานี JR ไปทางซอยร้านแม็คโดนัลด์อีกนิดนึง ไหนๆก็ต้องมาขึ้นรถไฟอยู่แล้วก็ไปแวะกินข้าวที่นี่ละกัน


ไม่ต้องคิดอะไรมาก เดินเข้าร้าน Saizeriya แบบแทบจะทันทีที่เดินมาถึง สั่งข้าวฮายาชิไรซ์มากิน อิ่มท้องและประหยัดดี


หลังจากกินข้าวเสร็จ ต่อไปก็จะเป็นการตะลอนเที่ยวยาวๆละ แพลนของช่วงบ่ายนี้คือไปเดินเล่นที่เมืองโยโกฮาม่า เมืองท่าสำคัญที่อยู่ไม่ไกลจากโตเกียวเท่าไหร่ ใช้เวลาเดินทางไม่นานด้วย ว่าแล้วเราก็เดินย้อนมาขึ้นรถไฟ Tokyo Metro ที่ปกติใช้บริการอยู่บ่อยๆ


เดี๋ยวต้องนั่งกันยาวๆ เริ่มจากกดตั๋วขึ้นรถไฟ Tokyo Metro สาย Hibiya Line สีเทา นั่งจากสถานี Minami-Senju ไปต่อรถไฟสาย Ginza Line สีส้ม ที่สถานี Ginza เพื่อไปลงที่สถานี Shibuya จากนั้นก็จะต้องขึ้นรถไฟ Tokyu สาย Toyoko Line จากชิบุย่าไปโยโกฮาม่า


ตามแพลนเที่ยววันแรกคือหลังจากเก็บกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เราจะไปโยโกฮาม่าด้วยรถไฟ Tokyu สาย Toyoko Line สำหรับรถไฟ Tokyu นี้เป็นรถไฟเอกชนของเครือบริษัทโทคีว(ที่มีห้างอยู่ในกรุงเทพฯด้วย)ที่ตัวเราเคยทำ research ข้อมูลของรถไฟสายนี้เอาไว้ในเพจท่องเที่ยวเมื่อปลายปีที่แล้ว


ที่สถานี Shibuya นี้ ชานชาลาของรถไฟ Tokyo Metro สาย Ginza Line จะอยู่ชั้น 3 หลังจากเดินออกมาแล้วต้องลงไปถึงชั้นใต้ดิน เนื่องจากรถไฟ Tokyu สาย Toyoko Line รวมทั้งสาย Den-en-Toshi Line นั้นชานชาลาจะอยู่ใต้ดินเหมือนกับรถไฟ Tokyo Metro สาย Fukutoshin Line สีน้ำตาล และสาย Hanzomon Line สีม่วง


อย่างที่เกริ่นไว้แต่แรกว่า รถไฟ Tokyu กับรถไฟ Tokyo Metro นั้นร่วมสายวิ่งรางด้วยกัน และบางทีก็รวมวิ่งกับสายอื่นให้ยาวขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารด้วย อย่างเช่นรถไฟ Tokyo Metro สาย Hanzomon Line บางขบวนก็วิ่งเชื่อมกับรถไฟ Tokyu สาย Den-en-toshi Line ด้วย โดยที่อีกฝั่งนึงก็เชื่อมกับรถไฟ Tobu สาย Skytree Line/Nikko Line เช่นกัน นั่นทำให้ผู้โดยสารสามารถนั่งรถไฟกันยาวๆจากสถานีตามเส้นทางของรถไฟ Tokyo Metro ได้ยาวๆไปลงที่โยโกฮาม่าได้แบบไม่ต้องลงมาเปลี่ยสายรถไฟเลยล่ะ

เวลาซื้อตั๋วรถไฟที่วิ่งร่วมกันมันก็ไม่ยากนะ ตอนกดตู้อัตโนมัติที่หน้าเครื่อง ให้กดเลือกที่ Transfer Ticket แล้วเลือกสาย/สถานีที่เราเปลี่ยนรถไฟไปลง มันก็จะขึ้นราคามาให้เราหยอดเงินเลย หรือถ้าไม่อยากงงก็ไป Fares Adjustment เอาที่สถานีปลายทางที่เราลงเลยก็ได้


เช่นกันกับรถไฟ Tokyo Metro สาย Fukutoshin Line นี่ก็วิ่งเชื่อมกับรถไฟ Tokyu สาย Toyoko Line และอีกฝั่งก็เชื่อมกับรถไฟ Tobu สาย Tojo Line ด้วยเช่นกัน หรือบางขบวนก็ไปเชื่อมกับรถไฟ Seibu สาย Ikebukuro Line อีกด้วย


สำหรับการไปเที่ยวโยโกฮาม่าวันนี้ เราเลือกเดินทางโดยซื้อตั๋ว Minatomirai Ticket ซึ่งเป็น discount ticket ราคา 860 เยน ลักษณะของตั๋วคือ 1. ตั๋วสามารถใช้นั่งรถไฟ Tokyu จากต้นสาย(ในที่นี้สำหรับเราคือสถานี Shibuya) ไปถึงสถานี Yokohama แบบไป-กลับได้ 1 รอบ (round trip) 2. ตั๋วเดียวกันนี้สามารถใช้นั่งรถไฟสาย Minatomirai Line ได้แบบไม่จำกัดเที่ยว เราตัดสินใจว่าควรซื้อเพราะแค่นั่งไปกลับจากโตเกียว-โยโกฮาม่า ค่าโดยสารปกติมันก็ตั้ง 920 เยนแล้วอ่ะ ตั๋วนี้คุ้มกว่า


วิธีซื้อตั๋วก็ง่ายมากๆ ที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติที่สถานี (ถ้าไม่แม่นภาษาญี่ปุ่นก็จิ้ม English ได้ตรงมุมขวามือบนได้) กดเลือก Discount Ticket ที่อยู่แถบด้านซ้ายมือของจอ


รถไฟ Tokyu จะมีตั๋ว discount ticket อยู่ 3 แบบ (เอาไว้จะอธิบายอีกทีในเพจนะ) ให้เราเลือกซื้อตั๋ว Minatomirai Line Free Round-Trip ของเรานั่งจากชิบุย่าก็จะราคา 860 เยน ซึ่งราคาจะต่างกันไปตามสถานีต้นทางที่เราขึ้นรถไฟ


ได้ตั๋ว Minatomirai Ticket ออกมาเรียบร้อยแล้ว บัตรเดียวเที่ยวทั้งวัน เดินเข้าเกทไปรอรถไฟได้เลยตามปกติเหมือนรถไฟสายอื่นๆทั่วประเทศ


รถไฟ Tokyu สาย Toyoko Line นั้นจะมีรถไฟทั้งหมด 3 แบบคล้ายๆกับรถไฟ Tokyo Metro ในบางสาย คือมีรถไฟ Local/Rapid/Special Rapid ความแตกต่างก็คือจำนวนสถานีที่จอดระหว่างทางจะมากน้อยต่างกัน เช่น รถไฟแบบ Local ก็จอดทุกสถานีรายทางแบบหวานเย็น ส่วนรถด่วนหน่อยก็จอดสถานีใหญ่ๆที่คนขึ้นลงเยอะ สำหรับที่จะไปโยโกฮาม่านั้น ทุกขบวนไปถึงโยโกฮาม่าและเชื่อมต่อกับรถไฟสาย Minatomirai Line ทั้งหมดอยู่แล้ว ก็จะสะดวกสบายหน่อย


เรานั่งรถไฟขบวน Limited Express มา ใช้เวลา 20 กว่านาทีก็ถึงสถานี Yokohama เราลงที่สถานีนี้เพราะว่าตั้งใจจะไป exchange ตั๋วพาสรถไฟ JR East Pass แล้วก็จองตั๋วรถไฟสำหรับไปเที่ยวของวันพรุ่งนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน

จริงๆแล้วรถไฟมันไปถึงทุกสถานีของสาย Minatomirai Line เลยนะ ไม่ต้องออกมาลงสถานี Yokohama แบบเราก็ได้


เดินออกจากสถานีไปทางโซนสถานีรถไฟ JR เพื่อแลกตั๋วพาส JR East Pass และจองตั๋วรถไฟชินคังเซ็นให้พร้อมสำหรับพรุ่งนี้ แต่เสียเวลารอแลกพาสซะนานเลย แย่ชะมัด..


เสร็จแล้วก็กลับลงมาที่ชานชาลารถไฟสาย Minatomirai Line อีกครั้ง ใช้ตั๋ว Minatomirai Line Free Round-Trip เที่ยวได้ไม่จำกัด


รถไฟสาย Minatomirai Line นี่ช่วงบ่ายรถโล่งมาก คงเพราะคนยังไม่เลิกงานกัน


จากสถานี Yokohama เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานี Nihon-Odori เพื่อที่จะไปจุดหมายแรกของวันนี้ก็คือ "โกดังอิฐแดง" หรือ "Red Brick Warehouse"


ตามแพลนการเดินเที่ยว เราจะไปโกดังอิฐแดงเป็นที่แรก เสร็จแล้วก็เดินไปตรงท่าเรือ Osanbashi จากนั้นก็เดินไปที่สวนยะมะชิตะ ผ่านหน้า Marine Tower แล้วก็วกเข้าไปที่ย่านไชน่าทาวน์ แล้วช่วงกลางคืนจะไปชมวิวที่ตึก Landmark Tower


เดินตามแผนที่ GPS ใน Google Map ยังไงก็ไม่หลงแน่นอน


นั่นคือ Landmark Tower ที่เราจะขึ้นไปชมวิวตอนกลางคืน ถือเป็นหนึ่งในตึกที่สูงที่สุดของญี่ปุ่นเลยด้วย


เดินผ่านมาทางสะพานเหล็กไปอีกนิดก็ถึงโกดังแดงอิฐแล้ว


มองลอดจากสะพานเหล็กไป โกดังมีหลายหลังทอดยาวเหมือนกันแฮะ


เดินมาถึงบริเวณโกดัง อ่านป้ายประกาศดูก็ได้รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีเทศกาล Holi ซึ่งเป็นเทศกาลสาดแป้งสีของศาสนาฮินดู วันนี้ก็เริ่มเห็นการเตรียมงานไปส่วนนึงแล้วในบริเวณรอบๆ


ตรงกลางระหว่างโกดังสองฝั่งจะมีการประดับประดาด้วยแปลงดอกไม้สวยๆให้ชมกัน


โกดังแดงอิฐที่โยโกฮาม่านี้ ก่อสร้างเสร็จสิ้นตั้งแต่ช่วงปีค.ศ.1911-1913 อายุก็เกินร้อยปีแล้ว เมื่อก่อนเคยใช้เป็นอาคารคลังสินค้า ปัจจุบันนี้ภายในถูกทำเป็นร้านค้าร้านอาหารแล้ว


เดินมาอีกมุมนึงของแปลงดอกไม้


ดอกไม้ช่วงนี้ก็คงจะต้องสู้กับแสงแดดซะหน่อย


มาเยือนโยโกฮาม่าเป็นครั้งแรกเลย เดินทางสะดวกสบายมากเลย


เดินเล่นหามุมถ่ายรูปไปจนสุดแนวแปลงดอกไม้และโกดัง


โกดังแดงอิฐนี้จะมีอยู่สองอาคารตั้งขนานกัน อาคารที่1นี้จะเป็นที่จัดแสดงนิทรรศการต่างๆ และอาคารที่2ที่เดินผ่านมาก็จะเป็นร้านค้าและร้านอาหารมากมาย


ฟากฝั่งนี้ก็จะย้อนแสงอยู่หน่อยๆ


เดินเลยมาอีกฝั่งนึงก็จะเป็นบริเวณทางเดินริมอ่าว ที่เห็นข้างหน้านั่นคือท่าเรือโอซังบะชิ (Osanbashi Pier) เดี๋ยวจะเดินไปที่นั่นกัน


มีดอกซากุระให้ดูด้วยแฮะ


ก็ยังดีที่มีซากุระบานให้ชมกันก่อนที่จะเริ่มร่วงโรยไปตามกาลเวลา


เดินเลาะริมอ่าวมาเรื่อยๆก็จะถึงทางเข้าท่าเรือโอซังบะชิ ซึ่งจะมีเรือสำราญแวะมาจอดเป็นครั้งคราว


ท่าเรือนี้ทำไว้เก๋ๆมาก เป็นจุดชมวิวที่ดีเลยล่ะ


ภายในของท่าเรือนี้มีภัตตาคารและร้านค้าอยู่ด้วยนะ ส่วนด้านบนนี้จะเป็นจุดชมวิวอ่าวโตเกียว


เดินตรงตามทางไปให้สุดทาง


มองรอบๆไปพลางๆ ย้อนกลับไปทางโกดังอิฐแดง


ตรงข้างล่างนั่นคงจะเป็นท่าเทียบเรือ


สมแล้วที่เป็นท่าเรือที่มีความยาวอันดับต้นๆของญี่ปุ่นเลย ขนาดเราเดินมาตั้งนานยังเพิ่งได้ครึ่งทางของความยาวท่าเรือนี้เอง


และในที่สุดเราก็เดินมาจนสุดทางเดิน ตรงจุดนี้เป็นจุดชมวิวที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมในการมาชมอ่าวโตเกียวทั้งตอนกลางวันและกลางคืน แต่ตอนนี้ลมพัดแรงมากและก็ลมเย็นมากจนหนาวบรื๋อเลยล่ะ!


"I am the King of the World!"


ยืนชมวิวสักพัก ได้เวลาเดินต่อแล้ว และจุดหมายต่อไปของเราก็คือสวนสาธารณะยะมะชิตะ (Yamashita Park) ที่อยู่ตรงข้างหน้านั่น


แสงแดดยามบ่ายแก่ๆ


โดยรวมแล้วที่ท่าเรือโอซังบะชินี้เป็นสถานที่ที่ดีมากนะ แต่มาช่วงเวลาแบบนี้คือลมแรงและหนาวเกิ๊น


เดินตรงกลับออกมาทางถนนทางเข้าเดิม เดี๋ยวจะต้องเดินตรงไปแล้วเลี้ยวไปทางซ้ายมือ


กระเบื้องที่พื้น ไม่ใช่ฝาท่อนะ


สวนยะมะชิตะที่เรากำลังจะเดินไปนี้เป็นสวนสาธารณะริมทะเล อยู่ใกล้กับท่าเรือโอซังบะชิและหอคอย Marine Tower


จากท่าเรือเดินมาอีกนิดเดียวก็ถึงสวนยะมะชิตะ


ตรงใจกลางของสวนจะมีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่อยู่ด้วย


บรรยากาศโดยรวมก็ถือเป็นสถานที่ที่ร่มเย็น มีต้นไม้มากมาย และมีร้านสะดวกซื้อกับร้านคาเฟ่เล็กๆไว้รองรับเวลาที่หิวด้วย


ถ่ายรูปกับดอกไม้ซะหน่อย ดูเหมาะสมกันดีเนอะ


นั่นคือหอคอย Marine Tower ที่ได้ชื่อว่าเป็นหอประภาคารบนบกที่ใหญ่ที่สุดในโลก


เปลี่ยนเอาเลนส์ 70-300 ออกมาซูมถ่ายให้เห็นยอดของหอคอยกันไปเลย


มาเที่ยวคราวนี้คงจะไม่ได้ขึ้นไปชมวิวที่ Marine Tower ขอถ่ายรูปอยู่ข้างล่างนี้ก็แล้วกันนะ


จากนั้นเราก็จะเดินต่อไปยังย่านไชน่าทาวน์ของเมืองโยโกฮาม่าซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนี้


ข้ามถนนไปยังฝั่งโรงแรมแล้วเดินตรงทะลุไปหนึ่งช่วงตึกก็จะถึงย่านไชน่าทาวน์


ข้ามถนนไปอีกทีก็ถึงแล้ว ประตูทางเข้าจากมุมนี้กำลังซ่อมแซมอยู่


เดินเข้าไปด้านในของย่านไชน่าทาวน์กันเลย


สองฝั่งข้างทางมีร้านรวงของคนจีนเต็มไปหมดเลย ก็ดูคล้ายๆกับย่านไชน่าทาวน์ที่เมืองโกเบที่เราเคยไปมา แต่ของที่โยโกฮาม่าดูจะใหญ่กว่าเล็กน้อย


ซุ้มประตูทางเข้าย่านไชน่าทาวน์ที่อยู่อีกฝั่งนึง


กำลังหาร้านกินข้าวเย็น เดินเจอป้ายร้านอาหารตามทางมากมาย มาหยุดที่ร้านนี้มีถ้วยรางวัลรับประกัน ร้านชื่อ Saika ได้หลายดาวอยู่นะ เข้าไปลองเลยละกัน


สั่งเมนูที่เป็นเมนูแนะนำของร้าน มันคือ "คริสปี้ชาฮั่ง" ดูน่ากินสมกับที่เป็นโอสุสุเมะ ชามละ 1,500 เยน


และก็แน่นอนว่าไม่พลาดที่จะสั่งเต้าหู้มาโบมากิน ของโปรดเลย!


หลังจากอิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาไปชมวิวกลางคืนกันที่ตึก Landmark Tower เราเดินกลับจากไชน่าทาวน์มาขึ้นรถไฟสาย Minatomirai Line ที่สถานี Motomachi-chukagai ซึ่งเป็นสถานีสุดสายอยู่ติดกับย่านไชน่าทาวน์


นั่งรถไฟมาลงรถที่สถานี Minatomirai เดินออกจากสถานีรถไฟแล้วมองหาทางออกที่เขียนว่าไปทางห้าง MARK IS แล้วก็ขึ้นไปเลย


สำหรับเราที่กำลังจะไปชมวิวที่ Sky Garden ของตึก Landmark Tower แล้ว หลังจากเดินขึ้นมาในห้างก็เดินไปตามป้ายบอกทางที่ให้มาทางขวามือเรื่อยๆเลย


เดินเข้าไปในโซนห้างของตึก Landmark Tower (ที่ค่อนข้างเงียบเชียบเหลือเกิน) จะมีป้ายบอกทางอยู่เรื่อยๆว่า Sky Garden ให้ขึ้นไปที่ชั้น 3F ทางขึ้นลิฟท์จะอยู่ชั้นนั้น


เดินขึ้นมาชั้น 3F แล้วก็เดินต่อเข้าไปตามทางที่ป้ายบอกเลย


มาถึงหน้าทางเข้าแล้ว ตรงนี้เราต้องไปกดตู้ซื้อตั๋ว(ค่าเข้าชมวิวราคา 1,000 เยน) จากนั้นก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่ เดี๋ยวเค้าจะพาขึ้นลิฟท์ที่เค้าเคลมว่าเร็วที่สุดในญี่ปุ่นขึ้นไปด้านบน


ซื้อตั๋วเข้าไปชมวิวเรียบร้อย


ขึ้นลิฟท์ที่เร็วราวกับเทเลพอร์ตมาถึงชั้น 69F ที่นี่คือ Sky Garden จุดชมวิวนั่นเอง


ที่นี่สามารถชมวิวได้ 360 องศารอบๆห้องชมวิวนี้เลยนะ!


และเบื้องล่างนั่นก็คือเมืองโยโกฮาม่าในยามค่ำคืน


ตรงนั้นคือสวนสนุก Cosmo World ที่มีชิงช้าสวรรค์ Cosmo Clock 21 เป็นตัวชูโรง


จากบน Sky Garden นี้ก็สามารถมองเห็น Tokyo Tower ที่อยู่ห่างไปเกือบๆ 30 กิโลเมตรได้ด้วยนะ! ที่เห็นนี้เราใช้เลนส์ 70-300 ซูมกันสุดๆไปเลย


แถมยังมองเห็น Tokyo Skytree ที่อยู่ไกลลิบๆนั่นได้อีกด้วยล่ะ จริงๆแล้วถ้ามาชมวิวตอนกลางวันในวันที่ฟ้าสดใสล่ะก็ เราจะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟุจิได้จากบนนี้ด้วยนะ


หลังจากชมวิวด้านบนแล้ว ต่อไปก็เป็นการเดินชมวิวภาคพื้นดินกันบ้างๆ ในบริเวณนี้มีจุดที่น่าเดินไปถ่ายรูปอยู่อีก 2 ที่คือตรงวิวชิงช้าสวรรค์ Cosmo Clock 21 กับตรงเรือ Nippon Maru ซึ่งอยู่ห่างจาก Landmark Tower ไปนิดเดียว


เดินออกจากตึก Landmark Tower ข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้ามจะเป็นถนนทางเดินริมน้ำ ซึ่งตรงจุดนี้เราสามารถถ่ายรูปชิงช้าสวรรค์ Cosmo Clock 21 ได้ชัดเจน ไฟประดับของเจ้า Cosmo Clock 21 นี้จะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ให้เราได้ถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลิน


เดินไปทางขวามือเล็กน้อย คราวนี้เราก็จะได้พบกับเรือ Nippon Maru


เรือ Nippon Maru นี้เคยเป็นเรือรบที่ออกปฏิบัติการจริงมาก่อนที่จะปลดระวางไป จนปัจจุบันได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำอย่างที่เห็นกันอยู่นี้


เดินข้ามมาชมเรืออีกฝั่ง แสงสปอตไลท์ส่องสว่างให้กับเรือในทุกมุมจริงๆ


หลังจากยืนบู๊ลมถ่ายรูปเล่นจนหน้าและมือชาไปพักนึง วันนี้เราได้รูปถ่ายตามที่ตั้งใจเอาไว้เกือบครบแล้ว (ไม่ได้ไปแค่พิพิธภัณฑ์บะหมี่ถ้วยเพราะเวลาไม่พอ) ได้เวลากลับที่พักที่โตเกียวกันซะที ว่าแล้วก็เดินลงบันไดเลื่อนกลับลงไปด้านล่างที่ชั้นสถานีรถไฟอีกครั้ง


ใช้ตั๋วรถไฟ Minatomirai Line Free Round-Trip ในการเดินทางกลับโตเกียว เดินเข้าสู่สถานี Minatomirai เอาจริงๆจำนวนคนโดยสารก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรนะ รู้สึกจะหนาแน่นหน่อยก็ตอนราวๆ 18.00-20.00 น. แค่นั้นเอง


เดี๋ยวเราจะต้องนั่งรถไฟ Tokyu สาย Toyoko Line ที่วิ่งเชื่อมกับรถไฟสาย Minatomirai Line นี้จากสถานี Minatomirai กลับไปลงที่สถานี Shibuya


รถไฟมาแล้ว ซึ่งจุดนี้เราก็เลือกนั่งรถแบบ Special Rapid เหมือนเดิมเพราะถึงเร็วดี


นั่งมาจนถึงสถานี Naka-meguro ก็เปลี่ยนใจลงมาซื้อตั๋วเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ Tokyo Metro สาย Hibiya Line สีเทาที่สถานีนี้เลยละกัน เพื่อนั่งกลับที่พักที่อยู่สถานี Minami-senju มันจะสะดวกกว่า ถ้านั่งกลับไปถึงชิบุย่ามันจะย้อนไปย้อนมาแถมต้องเดินต่อรถไฟไกลอีก


เรานั่งรถไฟ Tokyo Metro สาย Hibiya Line จากสถานี Naka-meguro กลับมาลงที่สถานี Minami-senju นั่งกันยาวๆเกือบสุดสาย


ออกจากสถานีรถไฟไปแวะร้านสะดวกซื้อแป๊บนึง ก่อนจะเดินตรงยาวกลับที่พัก คืนแรกนี่กลับถึงที่พัก 4 ทุ่มกว่าๆ


รับกุญแจจาก reception เรียบร้อย เดินลากกระเป๋าเดินทางขึ้นไปที่ชั้น 5 เราได้ห้องเบอร์ 509 ที่อยู่สุดทางเดินเลย พอถึงห้องพักก็ได้เวลาสร้างอาณาจักร เอาข้าวของออกมาวางเต็มที่ทุกกระเบียดนิ้ว


เป็นอันจบภารกิจในวันแรกของทริปนี้ อากาศหนาวจนหน้าชามือชาไปหน่อย แต่เราก็ชอบอากาศหนาวมากกว่าอากาศร้อนอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร



จบวันที่ 1 ของทริปได้ค่อนข้างราบรื่น ถ้าเทียบกับแพลนเดิมที่ตั้งใจไว้ก็สามารถเก็บได้ถึง 90% เลยนะ! หวังว่าพรุ่งนี้ก็จะราบรื่นอีกวันเนอะ


เดี๋ยวไปอาบน้ำนอนและ พรุ่งนี้จะเริ่มออกเที่ยวต่างจังหวัดด้วยการใช้ตั๋ว JR East Pass แล้ว


เจอกันพรุ่งนี้ครับ!

About Puttiano Rossi

"เป้าหมายของเราคือการไปเยี่ยมเยือนให้ครบทั้ง 47 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีก็จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้"

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon
  • Black Twitter Icon
Never Miss a Post!
bottom of page