2012.03.30 Japan Trip #1 Day1 - Harajuku, Omote-sando, Shibuya
JAPAN TRIP #1 Day1 (2012.03.30) - Harajuku, Omote-sando, Shibuya
30 มี.ค. 2012 คือครั้งแรกในชีวิตที่ได้เดินทางไปเปิดหูเปิดตาสู่ประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่เราคิดว่านี่เป็นประเทศที่เรา belong to.. ณ วันนั้น ต้องบอกตามตรงก่อนว่าผมไม่มีความรู้อะไรทั้งภูมิศาสตร์,การคมนาคม,สถานที่สำคัญต่างๆของประเทศญี่ปุ่นมาก่อนเลย ไม่เคยแม้แต่จะศึกษาเป็นความรู้สักนิด ทั้งชีวิตรู้จักญี่ปุ่นเพียงอาหาร,การ์ตูนและนักร้องเท่านั้นเอง เพราะงั้นนี่ถือเป็นการเปิดโลกและเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมไปตลอดกาล เพราะหลังจากนั้นมา ผมก็กลายเป็นคนที่กล้าพูดได้ว่าให้คำแนะนำในการเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นกับคนอื่นๆได้ทุกที่ในญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางด้วยรถไฟ..สิ่งที่ผมชื่นชอบที่สุดอย่างหนึ่งของญี่ปุ่นที่ผมชอบมากจนต้องศึกษาให้ถ่องแท้น้องๆแฟนพันธุ์แท้เลยล่ะ ใช่แล้วครับ เมื่อเอ่ยมาเช่นนี้ก็ต้องกล่าวขอบคุณบุคคลสำคัญที่เป็นผู้พาเที่ยวและพาผมไปเปิดโลกใหม่ ณ ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ ก็คือแฟนของผมเองและรุ่นพี่กับรุ่นน้องที่น่ารักใจดีคือพี่บิ๊กและอู๋ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ(พี่บิ๊กนี่ ถ้าใครรู้จัก เค้าคือไกด์และนักเขียนหนังสือเที่ยวญี่ปุ่น "ญี่ปุ่น เที่ยวไม่ง้อไกด์ ไปไม่ง้อทัวร์" ที่ยอดขายติดชาร์ทอันดับ 1 มายาวนานนั่นเอง)

ก่อนจะขึ้นเครื่องบินนี่ ต้องบอกว่าตื่นเต้นมากๆกับการไปญี่ปุ่นครั้งแรกนี้ เคยไปออสเตรเลียกับสิงคโปร์มาก่อนยังไม่ตื่นเต้นเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ เที่ยวนี้ผมเลือกใช้บริการสายการบิน Delta Airlines ซึ่ง ณ เวลานั้น นี่คือสายการบินที่มีเส้นทางการบินตรงระหว่างไทย-ญี่ปุ่นที่ราคาดีและน่าคบที่สุดแล้ว(จำได้ว่าประมาณ 18,xxx บาท) เวลาบินสวยด้วยนะ 06.15 น. นั่นคือต้องไปเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่เวลาประมาณ 03.00 น. บ้านผมอยู่ใกล้ๆอยู่ละ(แถวๆมีนบุรี) ตอนแรกก็ว่าจะเรียกรถแท็กซี่ไปแต่แบบ..ไปครั้งแรกคุณแม่เลยอยากไปส่ง ผมก็ไม่อยากจะขัดอะไรท่าน สรุปคุณแม่เลยไปส่งถึงที่สนามบินเลย (สงสัยต้องซื้อของฝากกลับมาให้เยอะๆหน่อยละ) ก็ไปเจอแฟนผมที่สนามบินแล้วก็พากันไปเช็คอินกัน ก่อนจะเดินผ่านตม.เข้าไปหาที่นั่งรอก่อนขึ้นเครื่องกัน

gate ขึ้นเครื่องอยู่ไกลมากๆ เดินสุดซอยเลยฮะ.. ประมาณตี5เศษๆก็ไปต่อแถวรอคิวขึ้นเครื่อง ซึ่งก็ใช้เวลาเล็กน้อยกว่าผู้โดยสารจะทยอยขึ้นเครื่องกันครบทั้งหมด บนเครื่องนี่แอร์โฮสเตสฝรั่งบริการดีมากๆ อาหารก็โอเคเลย มีเครื่องดื่มให้เลือกเพียบ ชอบตรงนี้เลย

ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมงก็ landing ที่สนามบินนาริตะเป็นที่เรียบร้อย (เวลา 15.20 น.) เครื่องบินของ Delta Airlines นั้นเข้าจอดที่ Terminal 1 ของสนามบินนาริตะ จากนั้นผมก็เดินออกมา ตอนผ่านตม.ก็ตื่นเต้นนิดหน่อยนะ ก็กังวลไปเรื่อยแบบว่าเค้าจะถามอะไรเรามั้ย จะโดนส่งไปเข้าห้องเย็นสอบถามรึเปล่า แต่ก็ไม่เลย ผ่านฉลุยแบบสบายมากๆ ที่กังวลๆมาอะไรนี่ไม่มีสักแอะ ผ่านออกมารับกระเป๋าที่สายพานแล้วก็เดินตัวปลิวผ่าน customs ไปแบบไร้ปัญหา (แวะไปเช่าซิม softbank มาไว้ใช้โทรติดต่อกับพี่บิ๊กและอู๋ระหว่างทริปนี้อยู่สักครู่ แล้วค่อยเดินไปสถานีรถไฟ)

ถึงเวลาเข้าเมืองกันละ ก็เลือกวิธีการเข้าเมืองที่ถูกที่สุดเลย นั่นก็คือ Keisei Main Line ที่เป็นรถแบบ rapid ซึ่งจะใช้เวลาเดินทาง 85 นาทีจากสถานี Narita Airport Terminal 1 ไปถึงสถานี Nippori ค่าโดยสาร 1,000 เยน ที่ลงสถานี Nippori เพราะจะต้องต่อรถไฟ JR สาย Yamanote Line ไปที่พักต่อ มันจะเดินไปเยอะเท่าไปลงที่อุเอโนะ ตอนออกจากสนามบินมีผู้โยสารไม่เยอะหรอก ไปเยอะเรื่อยๆระหว่างทาง เพราะผ่านเมืองน้อยใหญ่มากมาย ก็นี่มันรถไฟที่คนญี่ปุ่นเค้าใช้โดยสารประจำทางกันนี่นะ

ถึงสถานี Nippori ก็เดินขึ้นไปเปลี่ยนรถไฟ ซึ่งต้องเอาตั๋วโดยสารของรถไฟ Keisei ไปเสียบเข้าเครื่อง Fare Adjustment เพื่อจ่ายเงินค่าโดยสารและเปลี่ยนตั๋วให้เป็นตั๋วโดยสารของรถไฟ JR ก่อน ถึงจะเสียบเข้าประตูเกทของรถไฟ JR ได้ (ตอนแรกไม่รู้นี่เสียบไปกากบาทแดงหราเลย 555+) เสร็จแล้วผมก็ได้ไปขึ้นรถไฟที่ได้ชื่อว่ามีคนใช้บริการมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆของญี่ปุ่น ก็คือรถไฟ JR สาย Yamanote Line ซึ่งผมต้องนั่งจากสถานี Nippori ไปลงที่สถานี Shin-Okubo ที่พักของผมอยู่ที่นั่น

ที่พักของผมในทริปญี่ปุ่นครั้งแรกนี้คือ "Shin-Okubo International Hotel" อยู่แถวย่านชินโอคุโบะที่เป็นย่านเกาหลี จะเรียกว่า Korean Town ก็ได้ไม่ขัดเขินอะไร 555+ จากสถานี Shin-Okubo เดินไปทางขวามือเล็กน้อยๆจนถึง 7-eleven ก็เลี้ยวเข้าซอยนั้นไป เดินไปจนถึงทางสี่แยกเล็กในซอยก็ตรงเยื้องๆต่อไป แล้วก็จะเห็นป้ายโรงแรมแบบนี้อยู่ทางซ้ายมือล่ะ

ถามว่าที่พักที่นี่ดีมั้ย? ตอบเลยว่าค่อนข้างดีโอเคจริงๆ ดูดีมากคงเพราะยังค่อนข้างใหม่อยู่ ห้อง double room นี้มีเนื้อที่กว้างขวางดี มีห้องน้ำในตัว อุปกรณ์อำนวยความสะดวกพร้อม reception พูดอังกฤษได้ดีมากเพราะเป็นฝรั่งและคนจีน(รอบเช้าถึงจะเป็นคนญี่ปุ่น) คือประทับใจห้องมากนะสำหรับผม ค่าห้องพักนั้นราคาคืนละ 6,000 เยน (ตกราคาคนละ 3,000 เยน) เข้าพักเป็นเวลา 10 วันรวดไม่เปลี่ยนที่เลย!

หลังจากนั้นก็เป็นเวลาไปพบปะกับพี่บิ๊กและอู๋ สหายที่อาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นซึ่งได้นัดเจอกันที่ฮะระจุกุไว้แต่แรก (แต่กว่าเราจะมาถึงที่พักค่อนข้างเลทไปเยอะ เลยไปพบเจอทั้งสองล่าช้า ต้องขอโทษทั้งสองด้วยนะครับ!) ที่คือวิวในย่านชินโอคุโบะที่ผมถ่ายจากชานชาลาสถานี Shin-Okubo ที่ผมกำลังรอรถไฟ JR สาย Yamanote Line ที่จะนั่งไปลงสถานี Harajuku เพื่อพบปะสหายทั้งสอง

จากนั้นทั้งสองคนก็พาผมและแฟนเดินเล่นที่ถนนทะเคะชิตะ ถนนแฟชั่นเก๋ๆอันโด่งดังที่ฮะระจุกุนั้น จริงๆตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าฮะระจุกุมีอะไร เป็นย่านแบบไหน และเดินไปไหนต่อได้บ้าง นี่คือก้าวสำคัญที่เริ่มต้นจากศูนย์ของผมเลยจริงๆ

และจากนั้นก็เดินวกไปทางโอโมเตะซังโดกันต่อ ลืมบอกไปว่าอากาศดีแต่หนาวมากเลย อุณหภูมิเวลานั้นประมาณ 6-8 องศาเซลเซียส ถือว่าหนาวจนควันออกปากเลยล่ะ!

พี่บิ๊กและอู๋พาเดินผ่าน Cat Street จากโอโมเตะซังโดมาถึงย่านชิบุยะ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เรียนรู้ว่า landmark ที่สำคัญของที่ชิบุยะนี้คือ ตึก Shibuya109 (นอกจากนั้นก็คือห้าแยกชิบุยะและรูปปั้นน้องหมาฮะจิโกะ) ที่เดินๆมานี้คือยังไม่ได้แวะซื้ออะไรเลยนะ พาเดิน survey ให้ "คุ้นเคยกับชีวิตความเป็นคนญี่ปุ่น" ซะก่อนที่จะไปทำอะไรต่อมิอะไรเองในวันหลัง เอาให้ชินว่างั้น 555+ (จริงๆแล้วซื้อสินค้าไอด้อลไปแล้วจาก AKB48 Shop ที่ฮะระจุกุ..)

เดินเล่นสักพักเริ่มหิว ถึงคิวของมื้อเย็นซึ่งมันจะเป็นมื้อแรกของผมที่ญี่ปุ่นแล้ว! ก่อนจะเดินเลือกร้านกัน อู๋มีธุระต้องขอแยกตัวกลับไปก่อน ก็เลยให้พี่บิ๊กเลือกร้านให้ ซึ่งอากาศหนาวๆแบบนี้พี่บิ๊กเลยเสนอราเม็ง ซึ่งเราก็เห็นด้วยมาก มันหนาว ขออะไรอุ่นๆร้อนๆลงท้องเถอะ และนี่คือราเม็งที่น้ำโคตรจะแดงเหมือนกับว่าจะเผ็ดสุดพลัง แต่จริงๆแล้วไม่เผ็ดเลย ราคาชามนี้ 780 เยน ส่วนร้านนี่จำพิกัดไม่ได้จริงๆ 555+

ก่อนจะแยกย้ายกันกลับที่พัก ก็ได้ไปกินเฟรนท์ฟรายด์ที่ร้าน First Kitchen และชูครีมของร้าน Beard Papa หน้าสถานี Shibuya (ไหนว่ากินไม่เยอะ 555+) ตอนเดินกลับไปสถานี Shibuya นั้น ก็ต้องเดินผ่านห้าแยกชิบุยะในตำนานซะก่อน เห็นจำนวนคนที่ข้ามถนนตรงแยกนี้แล้วต้องยอมเลยจริงๆ.. จะเยอะไปไหนครับ!!!

หลังจากนั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line จากสถานี Shibuya กลับมาถึงที่สถานี Shin-Okubo แล้ว ก็ได้แวะที่ 7-eleven ที่อยู่ตรงปากซอยเข้าที่พัก และผมก็ได้พบกับเครื่องดื่มที่น่าจะเป็นน้ำที่ผมชอบที่สุดมาจั้งแต่เด็กๆแล้ว มันก็คือ "Orangina" นั่นเอง! ผมดื่มมันมาตั้งแต่เด็กๆละ ที่ไทยมันจะเป็นขวดแก้วใสๆขวดเล็กๆ ชอบมากขนาดคุณพ่อต้องซื้อแบบเป็นลังยกโหลมาไว้ที่บ้านให้เลยด้วย.. เพราะงั้นผมขึงมองว่า 7-eleven ที่นี่น่ะเป็นเหมือนแดนสวรรค์เลยล่ะ ไหนจะพวกอาหารกล่องรวมถึงพวกของกินที่เป็น limited มีขายเฉพาะเมืองนั้นๆบ้าง เฉพาะเทศกาลบ้าง ว่ายังไงดีล่ะ? คือมันเหมือนว่าคนญี่ปุ่นเค้ามีความใส่ใจและมีไอเดียในการทำอะไรออกมาขายเพื่อการตลาดได้เก่งมากเลย เอาเป็นว่าทุกคนสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นได้ด้วยการเข้าคมบินิ(ร้านสะดวกซื้อ)ในทุกวันอ่ะ นี่คือคืนแรกที่ได้นอนบนแผ่นดินญี่ปุ่น ได้สัมผัสว่าที่นี่เวลานี้หนาวจนแอร์ไม่ต้องเปิดให้ความเย็นแต่เปิดเพื่อให้ความร้อนแทน ก็แปลกดีสำหรับตัวผม วันแรกที่ใช้เวลาที่ญี่ปุ่นแค่ไม่ถึง 10 ชั่วโมงก็มีเรื่องให้เล่ามากขนาดนี้แล้วนะเนี่ย วันต่อๆไปต้องมีเรื่องให้เม้ามอยมากกว่านี้แน่นอน! .. ฝันดีครับ おやすみ!