2013.05.11 Japan Trip #3 Day1 - Narita Airport,Tokyo,Aomori
ทริปที่ 3 ในชีวิตการเดินทางท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ได้พาคุณแม่กับน้องสาวมาเที่ยวด้วยกัน มันก็เลยจะเป็นทริปที่ต้องเตรียมตัวหาข้อมูลท่องเที่ยวมากหน่อยด้วยเพราะไม่อยากให้มี accident เกิดขึ้นระหว่างทางนั่นเอง จะได้ราบรื่นๆ แต่ขนาดว่าเตรียมตัวพร้อมแล้วก็ยังมีเกือบพลาดนี่นั่นบ้างเล็กน้อยเลยคิดดู ฮ่าๆ

ในเมื่อได้พาคนที่บ้านมาเที่ยวด้วย มันก็ต้องไปเที่ยวในหลายๆที่หลายๆจังหวัดให้คุ้มกับที่ได้พาเขามา เพราะคงไม่ได้พาคนที่บ้านมาเที่ยวด้วยบ่อยๆแน่ ก็เลยวางแพลนเที่ยวตามที่คุณแม่อยากจะไป แน่ๆคือจะพาไปทั้งโอซาก้า,นาโกย่า,เกียวโต,โกเบ,ฟูจิซัง ไหนๆเราก็ยังไม่เคยไปต่างเมืองที่นอกจากโตเกียวด้วยเหมือนกัน แต่คุณแม่รีเควสต์ว่า "อยากดูซากุระ" โอโห..คุณแม่!! ถ้าจะดูซากุระในเดือน พ.ค. นี่ต้องถ่อไปถึงฮอกไกโดเลยนะครับ! แถมคุณแฟนที่จะมาจอยทริปนี้ด้วยในบางวันเพราะว่ามีทริปร่วมกับเพื่อนในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เราพาคนที่บ้านไปเที่ยวทริปนี้พอดี แล้วคือเขาอยากไปเมืองทะคะยะมะกับหมู่บ้านชิระคะวะโกะด้วย requirement ทั้งหมดนี้ จึงทำให้เกิดขึ้นมาเป็นทริปนี้ "ทริปญี่ปุ่น..จากเหนือลงใต้"

อย่างที่เกริ่นไป เราเตรียมตัวสำหรับทริปนี้เป็นเดือนๆเลย ต้องหาข้อมูลที่เที่ยว,โรงแรมที่พัก,การเดินทางทั้งหมดด้วยตัวเองคนเดียว ซึ่งก็ต้องมีการเช่าทั้ง pocket wifi,ซิมการ์ด และก็ต้องซื้อ JR Pass ด้วย ถึงแม้ว่าจะมีกังวลอยู่บ้าง แต่ก็พร้อมที่จะสู้กับ 12 วันต่อจากนี้จนถึงวันกลับไทยล่ะ!

คุณพ่อขับรถมาส่งพวกเราสามคนแม่ลูกที่สนามบินสุวรรณภูมิ(คุณพ่อต้องทำงานเลยไปเที่ยวด้วยไม่ได้) ทริปนี้เราจองตั๋วเครื่องบินสายการบิน Delta Airline อีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้บินกับสายการบินนี้ เครื่องบินออก 6 โมงเช้า มาถึงสนามบินนาริตะเทอมิน่อลที่1เวลาประมาณบ่าย 2 โมงได้

หลังจากผ่านตม.และรับกระเป๋าเดินทางออกมาแล้ว เราต้องเดินไปรับ Pocket Wifi กับซิมการ์ด(เอาไว้ใช้โทรหาคุณแฟนเพื่อนัดหมายเจอกันระหว่างทริป)ที่ได้จองผ่านทางออนไลน์เอาไว้ โดย Pocket Wifi นั้นต้องไปรับที่ Japan Post ในสนามบิน(อยู่ชั้น 4)

Pocket Wifi ที่ได้รับมา เค้าจะมีคู่มือการใช้งานแนบมาให้ด้วย พอเปิดเครื่องก็สามารถใช้ได้เลยทันที แค่ใช้โทรศัพท์มือถือเลือกหา wifi ที่ชื่อ SSID เหมือนกับที่แจ้งในคู่มือมา จากนั้นก็ใส่ password เท่านี้ก็เรียบร้อย เล่นเน็ตได้เหมือนกับต่อ Wifi ที่บ้านเด๊ะๆ จะบอกว่าเน็ตแรงกว่าเน็ตบ้านที่ไทยอีก แล้วก็เขาบอกว่าครอบคลุมพื้นที่ 93% ของประเทศญี่ปุ่นเลยด้วยนะ แบบนี้น่าจะหายห่วงเรื่องเที่ยวแล้วล่ะเนอะ

ส่วนซิมการ์ดเราจองของ softbank เอาไว้ ก็เดินไปรับที่เค้าน์เตอร์ตรงชั้น 1 ใกล้ๆกับตรงที่ออกจากตม.มานั่นล่ะ

หลังจากไปรับ Pocket Wifi กับซิมการ์ดแล้ว ก็ได้เวลาเอาตั๋ว voucher ที่ซื้อที่ไทยไปแลกเป็น JR Pass เพื่อใช้ขึ้นรถไฟและจองที่นั่งชินคังเซ็นด้วย ซึ่งเราต้องไปแลกพาสรถไฟที่ JR East Information Service Center ที่อยู่ใกล้ๆกับบริเวณสถานีรถไฟนะล่ะ

สิ่งที่ต้องยื่นให้เจ้าหน้าที่ก็ได้แก่ voucher ตั๋วที่ซื้อจาก agency ที่ไทย พร้อมด้วยพาสปอร์ตของตัวเรา แล้วก็กรอกแบบฟอร์มตามในรูป แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะเอาไปออกบัตร JR Pass ให้เราต่อเอง

ได้มาแล้วจ้า JR Pass บัตรเบ่งที่สามารถใช้นั่งรถไฟ JR ได้เกือบทุกสายไม่จำกัดเที่ยวเป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน พอได้พาสมาแล้วก็ใช้จองที่นั่งรถไฟทันทีได้เลย

วิธีการจองที่นั่งรถไฟชินคังเซ็นรวมถึงรถไฟ Limited Express นั้นก็ง่ายมากๆ แค่มองหาสัญลักษณ์ "เก้าอี้นั่งสีเขียว" หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า "Midori no Madoguchi" ให้เจอ เวลาจองก็แจ้งรอบรถหรือไม่ก็ยื่นตารางเวลารถไฟที่เราแพลนเอาไว้ให้เจ้าหน้าที่เขาดูเลยก็ดี จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะออกบัตรที่นั่งมาให้เป็นใบสีเขียวเล็กๆ บัตรนี้จะใช้นั่งที่นั่งบนรถไฟที่เป็นตู้รถไฟแบบ Reserved Seat แต่ถ้ารถไฟขบวนไหนมีตู้รถไฟที่เป็นที่นั่งแบบ Non-Reserved Seat เราก็สามารถไฟนั่งได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องจองที่นั่งเลยล่ะ(ใครมานั่งก็ได้) ถ้าขี้เกียจต่อแถวเพื่อจองที่นั่งก็ไปนั่งที่นั่งในตู้แบบ Non-Reserved Seat ก็ได้นะ!

เสร็จธุระทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาไปขึ้นรถไฟเพื่อมุ่งหน้าสู่อาโอโมริกันละ! ใช่แล้วครับ วันแรกของทริปนี้ เราจะต้องพาคุณแม่และน้องสาวเดินทางจากโตเกียวไปยังจังหวัดอาโอโมริ จังหวัดที่อยู่เหนือสุดของเกาะฮอนชูนี้ ระยะทางไกลโพ้นมากๆ ต้องต่อรถไฟ 3 ขบวนกว่าจะถึง ใช้เวลาร่วมๆ 5 ชั่วโมงในการเดินทาง และรถไฟขบวนแรกของทริปนี้ก็คือ Narita Express หรือ N'EX ที่เราจะนั่งออกจากสนามบินเข้าโตเกียวก่อน แล้วจึงจะไปต่อรถไฟชินคังเซ็นที่สถานี Tokyo อีกที

ขึ้นรถไฟมาแล้วๆ อย่างที่บอกไปแล้วว่าที่เราต้องไปอาโอโมริก็เพราะคุณแม่อยากไปดูซากุระ แต่ด้วยความที่เรามาถึงซะบ่ายขนาดนี้ รถไฟข้ามไปฮอกไกโดมันคงหมดไปแล้ว ก็เลยต้องไปถึงให้ได้ไกลที่สุดซึ่งนั่นก็คือจังหวัดอาโอโมริ แล้วก็ต้องพักโรงแรมที่อาโอโมริ เพื่อที่จะได้พาคุณแม่ข้ามไปดูซากุระที่เมืองฮะโกะดะเตะ หรือถ้าฟลุ้คๆก็ได้ดูอีกที่คือที่ปราสาทฮิโรซะกิด้วย นั่นจึงทำให้เราเลือกอาโอโมริเป็นฐานในการเที่ยวภูมิภาคโทโฮคุและฮอกไกโดในทริปนี้นั่นแล

เรานั่งรถไฟ Narita Express 34 ออกจากสถานี Narita Airport Terminal 1 เวลา 15.44 น. ไปถึงสถานี Tokyo เวลา 16.44 น. ท่ามกลางฝนที่โปรยปราย..

เราเช็คพยากรณ์อากาศมาล่วงหน้าเค้าก็บอกว่าญี่ปุ่นมีฝนตกในวันที่เรามาถึง ซึ่งมันก็ตกจริงๆแถมตกตั้งแต่เช้ายันค่ำด้วยนะ พรุ่งนี้ก็ต้องมาลุ้นอีกทีว่าจะเจอฝนมั้ย มาเที่ยวทั้งทีเราไม่อยากเจอฝนเลยให้ตายสิ! แต่ถ้าผ่านวันพรุ่งนี้ไปได้ วันอื่นๆที่เหลือก็สบายละ

ที่นี้พอมาถึงสถานี Tokyo ปุ๊บ เราต้องรีบเดินไปต่อรถไฟชินคังเซ็นสาย Tohoku Shinkansen ซึ่งเราดูเห็นว่ามีเวลา 12 นาทีในการเดินไปต่อรถไฟ มันน่าจะไม่ยาก ที่ไหนได้.. คือเราไม่รู้มาก่อนจริงๆว่าชานชาลาของ N'EX นั้นมันอยู่แยกไปจากชานชาลาของรถไฟชินคังเซ็นพอสมควรเลย เอาจริงๆถ้าเดินทางคนเดียวก็อาจจะไปทันแบบสบายๆ แต่นี่คือมาพร้อมทั้งคุณแม่ทั้งน้องสาว ก็ต้องหอบหิ้วกันไปด้วยกันจนความซวยเกือบจะมาเยือน ทีนี้พอเดินผ่านในสถานีรถไฟ คุณแม่ก็บอกว่าซื้อข้าวก่อนมั้ยต้องเดินทางอีกไกลนะ ถึงที่หมายก็ดึกเดี๋ยวจะหิว เราเลยมองดูนาฬิกาอีกที เหลือเวลา 6 นาที เอ้า! ซื้อก็ซื้อ รีบหยิบรีบจ่ายเงินภายในเวลา 2 นาที จากนั้นรีบวิ่งแจ้นไปที่ชานชาลาของ Tohoku Shinkansen แบบติดจรวด รถไฟจอดที่ชานชาลาที่ 23 เหลือเวลา 1 นาที ไม่มีทางเลือกนอกจากเราจะต้องหิ้วกระเป๋าเดินทางแล้ววิ่งขึ้นบันไดแทนการใช้บันไดเลื่อน! ได้ยินเสียงหวูดรถไฟดังเตือนว่ารถไฟจะออกแล้ว พอวิ่งขึ้นมาถึงชานชาลาข้างบน เราก็รีบวิ่งเข้ารถไฟแบบทันทีโดยที่ไม่ได้มองแม้กระทั่งตู้รถไฟที่เราขึ้นมา โดยที่คุณแม่และน้องสาวก็วิ่งตามขึ้นรถไฟมาไล่ๆกัน พอขึ้นรถไฟมาปุ๊บ ประตูรถปิดปั๊บ.. SAVE! แค่วันแรกก็เกือบดราม่าตกรถไฟละ ฮ่าๆๆ

หลังจากขึ้นรถไฟมาแล้ว ก็ต้องเดินไปยังตู้รถไฟที่เราจองที่นั่งเอาไว้ เรียกว่าเดินไกลพอสมควรคือต้องเดินจากตู้ที่ 7 ไปยังตู้ที่ 3 ล่ะ

รถไฟ Shinkansen Hayate 43 ออกจากสถานี Tokyo เวลา 16.56 น. ไปถึงสถานี Shin-Aomori เวลา 20.30 น.

ขอนั่งพักให้หายเหนื่อยแป๊บนะ.. วิ่งกันตาเหลือกมาขนาดนี้ ฮ่าๆ

ข้าวกล่องที่ซื้อที่สถานี Tokyo ก่อนจะขึ้นรถไฟมาแบบเฉียดฉิว เป็นเบนโตะปลาหิมะ น่ากินมากๆ

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ผ่านสถานีรายทางมาเรื่อยๆทั้งเซ็นได,โมริโอกะ

ใกล้จะถึงสถานี Shin-Aomori แล้ว เตรียมตัวลงรถ สำรวจสิ่งของสัมภาระกันให้เรียบร้อย

มาถึงแล้วจ้า! สุดสายสถานี Shin-Aomori อากาศหนาวมากๆ อุณหภูมิ ณ ตอนนี้คือ 8 องศาเซลเซียส คือโคตรหนาว แล้วเราใส่เสื้อยืดตัวเดียว..

ป้ายสถานี Shin-Aomori ในที่สุดก็มาถึงอาโอโมริจนได้

ถ่ายรูปคู่กับป้ายสถานีซะหน่อยๆ

ยังครับยัง.. การเดินทางของเราในวันนี้ยังไม่จบ เดี๋ยวจะต้องนั่งรถไฟสาย Ou Line ไปลงที่สถานี Aomori ต่ออีกหนึ่งทอด เพราะงั้นรีบเดินกันดีกว่า อากาศก็หนาวมาก ฝนก็ยังตกไม่หยุด รีบลงไปในสถานีดีกว่า

เกือบลืมถ่ายรูปคู่กับรถไฟชินคังเซ็น ขบวนนี้ชื่อ Hayabusa สินะ! สีเหมือน Hatsune Miku เลยอ่า

เดินลงมาจากชานชาลารถไฟชินคังเซ็น จะมีทางเดินที่ไปเชื่อมกับรถไฟ JR ธรรมดาได้ ก็เดินไปต่อรถไฟสาย Ou Line

รถไฟจะมาจอดเวลา 20.47 น. ที่ชานชาลาที่ 1 ล่ะ

ฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ถึงจะไม่ได้ตกหนักอะไร แต่ถ้าเดินฝ่าฝนก็มีเปียกแน่ๆ แล้วคือเราต้องเดินไปที่พักซะด้วยสิ..

รถไฟมาแล้วๆ รีบกดเปิดประตูขึ้นรถทันที หนาว ฮ่าๆ

เฟี้ยวแค่ไหนที่ใส่เสื้อยืดตัวเดียวกับอากาศแบบนี้ หนาวจับใจ..

ใช้เวลานั่งรถไฟ 6 นาที ในที่สุดเราก็มาถึงสถานี Aomori จุดหมายปลายทางของเราเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้เฉอะแฉะไปหมดเลย เราจะต้องเดินฝ่าฝนไปยังที่พัก เสียสละร่มให้คุณแม่กับน้องสาว ส่วนเราใส่หมวกเดินลุยฝนจ้า สู้ตาย!

เดินจากสถานีรถไฟมาเกือบถึงโรงแรมที่พักแล้ว โรงแรมที่เราจองไว้คือ Hotel Select Inn Aomori ข้างหน้านี่ล่ะ

เช็คอินเรียบร้อย เราพักที่นี่ 2 คืน เรานอนห้องเดียว ส่วนคุณแม่กับน้องสาวนอนห้องคู่ ราคาค่าที่พักรวมกัน 2 คืน 22,960 เยน โรงแรมมีอาหารเช้าให้ด้วยล่ะ

สภาพในห้องก็กว้างขวางใช้ได้เลยนะ นอนด้วยกันอีกคนยังได้อ่ะ! มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเอาไดเป่าผมมาเป่ากางเกงกับร้องเท้าผ้าใบให้แห้งโดยพลัน เสร็จแล้วค่อยไปอาบน้ำ

ห้องน้ำเล็กกระทัดรัดตามสไตล์โรงแรมญี่ปุ่น เราว่าการมีห้องน้ำส่วนตัวในที่พักเป็นสิ่งที่ดีมากนะ
อาบน้ำเสร็จแล้วก็ลงลิฟท์ไปซื้อของกินที่คอมบินิใต้โรงแรม ร้าน Daily Yamazaki หาของกินระหว่างที่จะเตรียมนั่งวางแผนการเดินทางไปเที่ยวที่ฮะโกะดะเตะในวันรุ่งขึ้น ในที่สุดเราก็มาอยู่ที่อาโอโมริจนได้ การมาถึงที่นี่ได้ตามเป้าหมาย มันทำให้เรารู้สึกว่าการวางแผนเที่ยวของเรามันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วมันก็ทำให้เรารู้ว่าเราชอบการวางแผนเที่ยวมากๆเลย เอนจอยไปกับมันมากจริงๆ

ก่อนนอนคืนนี้.. ที่ญี่ปุ่นมีเบียร์แอลกอฮอล์ 0% ด้วยนะ! เป็นอะไรที่คนดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้(เพราะโรคประจำตัว)อย่างเราปลื้มมากกกกก กินอิ่ม นอนหลับ ฝันดี หวังว่าพรุ่งนี้ฝนจะไม่ตก!