top of page

2013.05.16 Japan Trip #3 Day6 - Kyoto


วันที่ 6 ของทริปนี้แล้ว! แป๊บเดียวก็อยู่เที่ยวจะครบสัปดาห์แล้วเนอะ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ความอ่อนล้าก็เช่นกัน ฮ่าๆ

แพลนในวันนี้เราจะพาคุณแม่และน้องสาวไปเที่ยวที่เมืองเกียวโต ขอบอกเลยว่าที่เที่ยวเยอะมากซะจนไม่สามารถจะเก็บหมดในวันเดียวได้แน่ๆ ก็เลยต้องเลือกเอาที่เป็นไฮไลท์ที่สุดและเดินทางได้ไม่ลำบากมาเป็นตัวเลือกก่อน

อรุณสวัสดิ์จากโอซาก้า วันนี้จะไปเที่ยวเกียวโต 1 วันเต็มๆ อย่างที่เกริ่นไปว่าเนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวในเกียวโตนั้นมีเยอะมากๆก็เลยจำเป็นที่จะต้องตื่นเช้าหน่อย ทีแรกว่าจะตื่นตั้งแต่ก่อนตี5ด้วยซ้ำ แต่คุณแม่บอกไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ สุดท้ายก็เลยออกจากที่พักตอน 6.45 น. ในบรรยากาศที่เงียบสงบ

เดินผ่านคุณกูลิโกะกันแต่เช้าเพราะเป็นทางผ่านเพื่อไปขึ้นรถไฟ Osaka Subway

รีบเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Midousuji Line ที่สถานี Namba

เราจะนั่งรถไฟนี้ไปลงที่สถานี Shin-Osaka เพื่อไปต่อรถไฟชินคังเซ็น ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีถึง

รถไฟมีรอบรถถี่มากๆ ไม่เสียเวลาดี ค่าโดยสาร 270 เยนถือว่าค่อนข้างแพงเลย

มาถึงก็ต้องจองที่นั่งรถไฟชินคังเซ็นทั้งขาไปและขากลับกันก่อน ช่วงเช้าๆคิวใน Midori no Madoguchi ว่างชิวๆ

รีบเดินเข้าชานชาลาไปขึ้นรถไฟชินคังเซ็นเพื่อไปเกียวโตต่อ ขบวนนี้คือรถไฟ Shinkansen Hikari 508 ออกจากสถานี Shin-Osaka เวลา 7.13 น. ไปถึงสถานี Kyoto เวลา 7.28 น.

พอถึงสถานี Kyoto ก็เริ่มต้นจุดหมายแรกโดยการเดินทางไปศาลเจ้าฟุชิมิอินะริก่อนเป็นแห่งแรก การเดินทางก็จะต้องนั่งรถไฟ JR สาย Nara Line (ขบวนสีเขียว) จากสถานี Kyoto ไป 2 สถานีแล้วลงที่สถานี Inari ขอบอกว่าคนแน่นรถไฟมากๆเพราะเป็นช่วงเช้าวันธรรมดา

รถไฟออกจากสถานี Kyoto เวลา 7.38 น. มาถึงสถานี Inari เวลา 7.44 น. จากนั้นก็เดินออกจากสถานีรถไฟ

ตรงข้ามกับทางเข้าออกสถานีรถไฟนั้น ก็เป็นทางเดินเข้าสู่ศาลเจ้าฟุชิมิอินะริที่มีเสาโทริอิสีแดงตั้งอยู่รอต้อนรับผู้มาเยือนทุกคน

ข้ามถนนแล้วเดินผ่านเสาโทริอิสีแดงตรงเข้าไป

มาถึงเสาโทริอิต้นที่สองที่อยู่หน้าซุ้มประตูเข้าสู่บริเวณของศาลเจ้า

ซุ้มประตูโรมงที่มีรูปปั้นหินเทพจิ้งจอกตั้งขนาบอยู่ด้านหน้า

ก่อนจะเดินเข้าภายในศาลเจ้าก็ต้องชำระล้างมือไม้ตามธรรมเนียมปฏิบัติเสียก่อน

เดินเข้าสู้ภายในบริเวณของศาลเจ้าจะพบเจออาคารเกะฮะอิเด็นเป็นอาคารแรก คนส่วนใหญ่ที่มาก็มาไหว้ขอพรที่เกะฮะอิเด็นนี้ก่อนเป็นลำดับแรก ก่อนจะไปต่อที่นะอิฮะอิเด็นด้านหลังกันต่อ

อาคารนะอิฮะอิเด็น

ด้านข้างทางซ้ายมือเป็นอาคารที่ให้เช่าเครื่องรางและเซียมซีเสี่ยงทาย เรามาถึงตอนที่เริ่มเปิดทำการพอดี

มิโกะสองคนนี้เพิ่งจะเดินทางมาถึงศาลเจ้าเพื่อทำงาน

ด้านซ้ายมือนั้นมีทางเดินต่อไปยังบริเวณที่เป็นซุ้มอุโมงค์ทางเดินเสาโทริอิแดงนับพันต้น

เดินขึ้นบันไดไปตามทางเรื่อยๆ สังเกตเห็นว่ามีศาลเจ้าน้อยใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่โดยรอบ น่าจะมีร่วมๆร้อยได้

เดินเข้าไปด้านในอีกเรื่อยๆ

และเราก็มาถึงหน้าทางเข้าของซุ้มอุโมงค์เสาโทริอิสีแดงที่มีความยาวเป็นกิโลกันแล้ว!

เสาโทริอินับพันต้นตั้งเรียงกันราวกับเป็นอุโมงค์ให้ผู้ที่มาเยือนได้เดินชื่นชมความสวยงามและความมีมนตร์ขลัง

ผ่านจากเสาโทริอิต้นใหญ่มาได้เล็กน้อย ต่อไปก็จะเป็นเสาต้นเล็กๆบ้าง ซึ่งก็ตั้งเป็นทางเดินยาวไปเกือบครึ่งกิโลเมตร เราคิดว่าเราคงจะไม่ไปเดินจนสุดทางแน่ๆอ่ะ

ช่วงเช้ายังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยมชมศาลเจ้าซักเท่าไหร่ เป็นโอกาสดีที่จะได้ถ่ายรูปออกมาสวยๆ ดีมากๆเลย

ตอนที่เดินเข้าจะยังไม่เห็นว่ามีลวดลายอะไร แต่พอมองกลับไปจะเห็นว่ามันเขียนภาษาญี่ปุ่นไว้เต็มเลย

หลังจากชื่นชมความอลังการของเสาแดงโทริอิอยู่พักนึง ก็ต้องไปต่อกันแล้วล่ะ เดินย้อนกลับออกมาทางเดิมและออกจากศาลเจ้าฟุชิมิอินะริแห่งนี้

ทางออกทางเดิมที่ร้างผู้คนมากเช้านี้

เข้าสู่สถานี Inari กันอีกครั้ง เดี๋ยวเราจะไปเที่ยวที่อะระชิยะมะเป็นจุดหมายต่อไป

การเดินทางไปอะระชิยะมะนั้น จะต้องไปต่อรถไฟที่สถานี Kyoto เพราะงั้นต้องนั่งรถไฟสายเดิมคือสาย Nara Line ไป รถไฟจะมาเวลา 8.42 น. ซึ่งจะไปถึงสถานี Kyoto เวลา 8.47 น.

รถไฟมาถึงตามเวลาเป๊ะๆ

พอกลับมาถึงสถานี Kyoto แล้ว เราแวะไปซื้อบัตร One Day Pass ของรถบัส Kyoto City Bus ก่อน เพื่อเอาไว้นั่งรถบัสแบบเหมาวันเที่ยวภายในเกียวโต โดยไปซื้อที่ Kyoto Tourist Information Center ที่อยู่ภายในสถานี Kyoto นั่นล่ะ

บัตร One Day Pass นี้ราคา 500 เยน เวลาขึ้นรถบัสครั้งแรก ก่อนลงรถให้สอดบัตรเข้าไปที่เครื่องที่อยู่ข้างๆคนขับรถเพื่อแสตมป์วันที่ หลังจากนั้นเวลาขึ้นครั้งต่อๆไปก็แค่โชว์บัตรให้กับคนขับรถดู ง่ายนิดเดียว

เมื่อถือบัตร One Day Bus Pass แล้ว ทีนี้เราก็จะนั่งรถบัสในเกียวโตได้ทุกสายตามในแผนที่ของสายรถบัสฉบับนี้ เรียกว่าไปได้แทบจะทุกสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเกียวโตเลยนะ

หลังซื้อบัตร One Day Pass เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาไปจุดหมายต่อไป นั่นก็คือวัดเท็นริวจิ ซึ่งอยู่ที่อะระชิยะมะ จริงๆแล้วอะระชิยะมะนั้นเดินทางไปได้หลายวิธีมาก แต่เราที่เหมือนเรื่มต้นที่สถานี Kyoto ก็เลยเลือกที่จะนั่งรถไฟ JR สาย Sagano Line ไปลงที่สถานี Saga-Arashiyama ง่ายที่สุด

รถไฟออกจากสถานี Kyoto เวลา 9.17 น. มาถึงสถานี Saga-Arashiyama เวลา 9.33 น.

ออกมาด้านหน้าของสถานี เราคงไม่ได้ย้อนกลับมาขึ้นรถไฟที่สถานีนี้เพราะเดี๋ยวเราจะไปนั่งรถรางเพื่อไปที่อื่นต่อ

จากสถานี Saga-Arashiyama เดินไปตามเส้นทางในแผนที่เรื่อยๆ ประมาณ 15 นาทีก็จะถึงหน้าวัดเท็นริวจิ

ระหว่างทางก็เดินผ่านร้านรวงและบ้านเรือนมากมาย ดูไม่ได้เป็นชนบทกว่าที่คิดแฮะ..

และเราก็มาถึงวัดเท็นริวจิแล้ว

เดินตามทางเข้าไปด้านในจะเจอทางเข้าและจุดขายตั๋วเข้าชม ค่าเข้าชมราคา 500 เยน

เดินเข้ามาด้านในก็จะเจอสระน้ำสวยงามซึ่งเห็นวิวภูเขาด้านหลังด้วย

ตัวอาคารหลักของวัดที่มีบางส่วนของอาคารกำลังบูรณะซ่อมแซมอยู่

ช่วงที่มาเที่ยวเกียวโตนี่มีนักเรียนมาทัศนศึกษากันเยอะมากๆ เดินกันว่อนไปหมดทุกทีเลยเท่าที่เห็น

ขึ้นมาเดินชมวิวเล่นตรงสวนต้นไผ่ที่อยู่ด้านหลังวัด ก่อนที่จะเดินออกจากวัดไปทางสะพานโทเก็ตสึกันต่อ เราเดินหลงกับคุณแม่และน้องอยู่พักนึง เสียเวลาเที่ยวไปเล็กน้อย

ออกจากวัดเท็นริวจิแล้วเดินไปทางขวามือเรื่อยๆไม่กี่ร้อยเมตรก็จะเจอสะพานโทเก็ทสึ บรรยากาศตรงนี้ร่มรื่นมาก น้ำใสไหลเย็น

ริมตลิ่งแม่น้ำมีเด็กๆทั้งเด็กประถมและมัธยมมาทัศนศึกษาตรงสะพานโทเก็ทสึนี้เพียบเลย

หลังจากพักกินมื้อเที่ยงแป๊บนึงก็เดินทางต่อ จุดหมายต่อไปคือวัดคินคะคุจิหรือวัดทอง จากอะระชิยะมะนี่ต้องเดินทางกันหลายต่อหน่อย เริ่มจากต้องมาขึ้นรถรางสาย Keifuku Arashiyama Line จากสถานี Arashiyama อันแสนพลุกพล่านเต็มไปด้วยผู้คน

ซื้อตั๋วที่ตู้อัตโนมัติเหมือนกับรถไฟอื่นๆ ค่าโดยสาร 200 เยน นั่งได้ยาวสุดสายราคาเดียว

เราจะต้องนั่งรถรางสาย Keifuku Arashiyama Line นี้จากสถานี Arashiyama ไปต่อรถรางสาย Keifuku Kitano Line ที่สถานี Katabiranotsuji เพื่อไปลงที่สถานี Kitanohakubaicho สุดสาย

รถรางออกจากสถานี Arashiyama เวลา 11.53 น. ไปถึงสถานี Katabiranotsuji เวลา 11.59 น. ต่อรถรางสาย Keifuku Kitano Line ซึ่งรถออกเวลา 12.01 น. ไปลงที่สถานี Kitanohakubaicho ถึงที่หมายเวลา 12.12 น. ทีแรกก็กังวลว่าเวลาห่างกันแค่ 2 นาทีจะต่อรถทันมั้ย ปรากฏว่าลงรถแล้วไปขึ้นรถต่อฝั่งตรงข้ามได้เลย เหมือนกับที่สยามที่ออกจาก BTS สายสีลมข้ามมาต่อสายสุขุมวิทได้เลยนั่นล่ะ

เดินออกจากสถานีรถราง เวลาออกจากสถานีจะมีพนักงานรอเก็บตั๋วอยู่ตรงทางออกเลย ก็ยื่นตั๋วให้เค้าแล้วก็เดินออกมา

จากสถานีรถราง เดินมาทางซ้ายก็จะเจอป้ายรถเมล์ และจากป้ายนี้จะต้องนั่งรถบัสต่อประมาณ 3 ป้าย หลายต่อชะมัดเลย..

รถบัสที่เราจะนั่งโดยสารไปวัดคินคะคุจิได้นั้น ก็จะมีสาย 101,102,204,205 ซึ่งต้องนั่งไปลงที่ป้าย Kinkakuji-michi ยืนรออยู่ไม่นาน รถบัสสาย 205 มาพอดี นี่เป็นการขึ้นรถบัสในเมืองครั้งแรกของเราที่ญี่ปุ่นเลยด้วย

เราลงรถบัสที่ป้าย Kinkakuji-michi (ที่วงกลมสีชมพูในแผนที่) จากนั้นก็เดินเข้ามาในซอยเล็กๆ

เดินมาถึงหน้าทางเข้าวัดคินคะคุจิหรือวัดทองแล้ว แน่นอนว่ายังคงเจอนักเรียนมาทัศนศึกษาตามเคย..

เดินเข้าไปตามทางจนถึงจุดจำหน่ายตั๋วเข้าชม ค่าเข้าชมวัดคินคะคุจิราคา 400 เยน

และแล้วในที่สุดก็ได้มาเห็นวัดคินคะคุจิด้วยตาตัวเองแล้ว!

ตัววัดสีทองอร่าม สวยกว่าที่คิดมากๆ เวลาแสงแดดสาดกระทบมันยิ่งสวยเป็นทวีคูณเลยล่ะ

บึงน้ำล้อมรอบตัววัดก็ให้บรรยากาศที่สงบร่มเย็น

เดินซื้อของที่ระลึกตรงร้านค้าในบริเวณวัด เสร็จแล้วก็มานั่งพักดื่มน้ำดื่มกาแฟกันสามคนตรงนี้ซักครู่นึง

ได้เวลาไปจุดหมายต่อไปแล้ว นั่นก็คือวัดนินนะจิ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ในระแวกนี้ เดินออกจากวัดคินคะคุจิมาทางขวามือจะเจอป้ายรถบัส (วงกลมสีฟ้าในแผนที่)

รอขึ้นรถบัสสาย 59 ที่จากป้าย Kinkakuji-mae เพื่อไปลงที่ป้าย Omuro-Ninnaji ต้องตบตีแย่งชิงกับฝูงนักเรียนที่มาทัศนศึกษาไปตลอดทางมันก็จะแย่หน่อย..

นั่งรถบัสมา 6 ป้ายก็จะมาลงที่ป้าย Omuro-Ninnaji จริงๆตอนแรกว่าจะแวะวัดเรียวอันจิซึ่งอยู่ตรงกลางก่อน แต่เห็นว่ามันมีแค่หินสวยก็เลยข้ามไป

ป้ายรถบัส Omuro-Ninnaji อยู่ตรงข้ามกับทางเข้าวัดนินนะจิพอดีเด๊ะ

ซุ้มประตูไม้เก่าแก่อายุนับพันปีของวัดนินนะจิ เป็นอะไรที่ดูขลังมากๆ

เป็นอีกหนึ่งวัดที่เราได้มาเยือนที่เกียวโต

เดินผ่านซุ้มประตูไม้เพื่อเข้าไปด้านในบริเวณของวัด ดูสภาพแล้วมันเก่าแก่แต่ขณะเดียวกันก็ดูแข็งแรงดีจริงๆนะ

วัดนินนะจินี้มีค่าเข้าชมราคา 500 เยน

นี่ยักษ์เฝ้าประตูใช่มั้ยนะ? ถ่ายรูปซะเลย ฮ่าๆ

เสร็จภารกิจจากวัดนินนะจิ จุดหมายต่อไปคือปราสาทนิโจ ทีนี้เรามีเส้นทางที่จะใช้เดินทางไม่เหมือนคนอื่นเพราะไม่อยากนั่งรถบัสไปด้วยความที่คนเยอะ เราก็เลยจะพาคุณแม่และน้องสาวไปชมธรรมชาติตามเขตชนบทแทนด้วยการนั่งรถรางและรถไฟ

เริ่มจากเดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามวัดแล้วเดินตรงตามทางไปขึ้นรถรางสาย Keifuku Kitano Line ที่สถานี Omuro Ninnaji ไปลงที่สถานี Katabiranotsuji อีกครั้ง

เดินตรงไปตามทางถนนสั้นๆสู่สถานีรถราง

มาถึงหน้าสถานี Omuro Ninnaji ซุ้มสถานีรถรางเล็กๆ ไม่มีเจ้าหน้าที่สถานีประจำอยู่เลย

เช็คดูให้ถี่ถ้วนก่อนว่ารถรางมีสถานีปลายทางด้านไหน เดี๋ยวจะไปผิดทาง ก่อนจะข้ามฝั่งมาขึ้นที่ฝั่งนี้

รถรางออกจากสถานี Omuro Ninnaji เวลา 14.01 น. จะไปถึงสถานี Katabiranotsuji เวลา 14.11 น.

มาถึงสถานี Katabiranotsuji แล้ว ก็เดินข้ามรางรถไฟไปออกทางออกที่อยู่อีกฟากฝั่ง

หลังเดินออกจากสถานีรถราง Katabiranotsuji แล้ว เราลองหยิบแผนผังรถบัสมาดูก่อนรอบนึงเผื่อจะมีรถบัสไปปราสาทนิโจได้ แต่ก็ไม่มีจนสุดท้ายก็เลยยืนยันเส้นทางเดิมที่วางแผนเอาไว้ ก็คือเดินไปต่อรถไฟ JR สาย Sagano Line ที่สถานี Uzumasa ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากตรงที่ยืนอยู่นี้เท่าไหร่

เดินข้ามรางรถไฟที่มีรถรางสาย Keifuku Kitano Line ที่เราเพิ่งนั่งมาลงเมื่อกี้ผ่านมาพอดี

เดินมาตามแผนที่เรื่อยๆซักประมาณ 15-20 นาทีก็มาถึงสถานี Uzumasa แล้ว

ยืนรอรถไฟมาแบบชิวๆ อากาศเย็นสบายแถมเงียบสงบอีกต่างหาก สมกับเป็นสถานีตามชนบทจริงๆ

รถไฟออกจากสถานี Uzumasa เวลา 14.49 น. มาถึงสถานี Nijo เวลา 14.56 น.

เดินออกมาด้านหน้าสถานี Nijo เจอห้างใหญ่ติดสถานี

หันไปทางขวามือนิดนึงก็จะเจอทางเดินลงเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน

เดินลงไปตามทางในสถานีของรถไฟ Kyoto City Subway

ถึงแม้จะแค่สถานีเดียว แต่เราก็จะใช้บริการรถไฟใต้ดิน Kyoto City Subway สาย Tozai Line นี้เพื่อความสะดวก

ระยะทางเพียงแค่สถานีเดียวค่าโดยสารยังราคา 210 เยน ถือว่าแพงๆมากนะ..

ยืนรอรถไฟที่ชานชาลา อารมณ์ดูคล้ายๆรถไฟใต้ดิน MRT ที่บ้านเราเลย ซึ่งจากสถานี Nijo นี้ เราจะนั่งไปลงที่สถานี Nijojo-mae

รถไฟมาถึงสถานี Nijo เวลา 15.04 น. มาถึงสถานี Nijojo-mae เวลา 15.06 น.

เดินออกมาจากสถานี Nijojo-mae เดินออกมาทางออกที่ 1 ข้ามถนนแล้วก็เดินอีกนิดก็จะถึงหน้าทางเข้าปราสาท

ถึงทางเข้าปราสาทแล้ว ต้องเสียค่าเข้าชมซะก่อน ราคา 600 เยน

ดีใจที่มาถึงก่อนปราสาทปิดเพราะปราสาทนิโจนี้ปิด 4 โมงเย็น ถือว่าปิดเร็วที่สุดในเกียวโตเลยด้วย

ปราสาทนิโจแห่งนี้เมื่อ 400 กว่าปีก่อนเคยเป็นที่อยู่ของท่านโชกุนโทคุกะวะ อิเอะยะสุ ภายในแยกส่วนของห้องพระราชวังแยกย่อยถึง 30 ห้อง อย่างตรงนี้คือห้องพระราชวังนิโนะมะรุที่เป็นสีทองอร่าม สวยงามมากๆ

หลังเดินชมปราสาทอยู่ราวๆครึ่งชั่วโมงก็จวนเวลาปิดทำการ เท่ากับได้เวลาไปสถานที่ต่อไปตามแพลนแล้ว

เดินย้อนกลับมาขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Nijojo-mae อีกครั้ง และเราจะนั่งรถไฟจากสถานี Nijojo-mae ไปลงที่สถานี Higashiyama รถออกเวลา 15.45 น. ไปถึงเวลา 15.52 น. ค่าโดยสารราคา 210 เยน

หลังจากมาถึงสถานี Higashiyama เราจะเดินต่อไปตามแผนที่เพื่อไปรอขึ้นรถบัสไปวัดกินคะคุจิหรือวัดเงินต่อ

เดินเลาะไปตามทางซ้ายมือจากสถานี สังเกตแม็คโดนัลด์ไว้แล้วเลี้ยวขวาข้ามถนนไปตามนั้น ดูเหมือนย่านนี้ก็จะเป็นย่านร้านค้านะ

มาถึงป้ายรถบัสแล้ว ที่นี้เราคงต้องเปลี่ยนแผน คือต้องยกเลิกการไปวัดกินคะคุจิเนื่องจากรถบัสที่ไปวัดกินคะคุจิเนี่ย กี่คันๆก็จะมีนักเรียนที่มาทัศนศึกษาโดยสารกันมาเต็มคันรถไปหมด รถบัสมาแล้วก็ผ่านไปหลายคันก็เต็มล้นจนขึ้นไม่ได้ สุดท้ายเดี๋ยวเวลาจะไม่ทันได้ไปวัดคิโยมิสึเดระที่เป็นไฮไลท์ของเกียวโต เราก็เลยข้ามเพื่อไปวัดคิโยมิสึเดระเลยก็แล้วกัน

เรานั่งรถบัสสาย 202 มาลงที่ป้าย Kiyomizu-michi ซึ่งป้ายรถบัสอยู่เยื้องๆกับถนน Matsubara dori ซึ่งเป็นถนนขึ้นเขาไปยังวัดคิโยมิสึเดระพอดี

เดินไปตามถนน Matsubara dori เดินผ่านร้านรวงต่างๆมากมาย เดี๋ยวเราค่อยแวะดูของฝากตอนขากลับละกัน

เดินมาประมาณ 15 นาทีก็มาถึงหน้าวัดคิโยมิสึเดระแล้ว

ซุ้มประตูนิโอมงที่เราจะต้องเจอเป็นสิ่งแรกเมื่อมาถึงบริเวณวัดคิโยมิสึเดระ

ในที่สุดก็ได้มาเยือนวัดคิโยมิสึเดระแล้ว

ข้างในก็มีอาคารของวัดอยู่หลายอาคาร มีเจดีย์สามชั้นอยู่ข้างอาคารเก็บคัมภีร์พระสูตร แต่ก่อนที่จะเดินเข้าไปต่อ ต้องจ่ายค่าเข้าชมวัดคนละ 300 เยนซะก่อน

เดินมาที่ศาลาใจกลางวัดคิโยมิสึเดระ จุดนี้สามารถยืนชมวิวของเมืองเกียวโตได้สุดลูกหูลูกตา เห็น Kyoto Tower เลยด้วย

ระเบียงของศาลาวัดคิโยมิสึเดระ ยืนถ่ายรูปให้คุณแม่อยู่ตรงนี้นานมาก ฮ่าๆ

และก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปให้ตัวเองด้วย ได้มาเยือนซะที

จากตรงจุดชมวิวเมืองตรงนี้ มองลงไปด้านล่างจะเห็นน้ำตกโอโตวะ ซึ่งถือเป็นน้ำตกศักดิ์สิทธิ์ที่มีแม่น้ำบนเขา 3 สายไหลมารวมกันที่นี่

ว่าแล้วก็เดินลงไปที่น้ำตกซะหน่อย

คนต่อแถวเข้าไปดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ตรงนี้กันเยอะมากๆ โดยผู้ดื่มน้ำจากแม่น้ำทั้ง 3 สายเชื่อกันว่าจะมีโชคด้านการเรียน,สุขภาพ,ความรัก

หลังจากนั้นเราก็เดินกลับออกมาจากวัดคิโยมิสึเดระ เดินกลับมาทางเก่า ก็เดินเลือกซื้อของฝากของกินไปตามทาง

เดินกลับออกมาถึงถนนหลักก็ข้ามฝั่งมารอรถบัสสาย 100,202,206,207 เพื่อจะไปลงที่ป้าย Gion

นั่งรถมา 3 ป้ายก็ถึงกิองแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นเราจะแวะไปที่ศาลเจ้ายะสะกะที่อยู่ตรงข้ามสามแยกกิองนี้ก่อน

เดินข้ามถนนมาผ่านร้าน Lawson ที่เห็นในรูปนี้อยู่ตรงแยกกิองมา

ก็มาถึงศาลเจ้ายะซะกะ

บริเวณศาลเจ้าไม่ได้กว้างใหญ่อะไรเท่าไหร่ มีซุ้มอาคารเล็กใหญ่ไม่กี่หลัง

อาคารกลางบริเวณศาลเจ้า

ใช้เวลาอยู่ในศาลเจ้ายะซะกะนี้ไม่นาน ก็เดินออกจากศาลเจ้า มองมุมนี้แล้วเหมือนประตูเป็นทางสามแพร่งเลย..

ข้ามถนนเดินกลับไปที่ย่านกิองกันอีกครั้ง

เดินตรงดิ่งมุ่งหน้าไปยังถนนฮะนะมิโคจิเส้นดังของย่านกิอง เราเดินมาถึงตอนเวลา 6 โมงเย็นพอดีเลย

ร้านอาหารในย่านนี้เพิ่งเริ่มจะเปิดบริการกัน มีเกอิชาเดินผ่านไปมาบ้างประปราย ย่านนี้จะเริ่มคึกคักเมื่อฟ้ามืดซิ

เดินเล่นซักพักกล้อง DSLR ของเราก็แบตหมดพอดี พาลให้ขี้เกียจจะเดินต่อละ เราเลยชวนคุณแม่และน้องสาวเดินย้อนกลับมาตรงแยกกิองอีกครั้ง เตรียมตัวกลับสถานี Kyoto กัน

ข้ามถนนกลับมาแล้วเดินไปป้ายรถบัส รอรถบัสสาย 206 กลับสถานี

มีป้ายอัตโนมัติบอกด้วยนะว่ารถบัสสายไหนที่ผ่านมาถึงไหนแล้ว เจ๋งดีนะ

นั่งรถบัสสาย 206 มาประมาณ 15 นาที เราก็มาถึงหน้าสถานี Kyoto แล้ว

มาถึงก็หิวและ ไปหาข้าวกินกันเลยและกัน ตรงชั้นใต้ดินของสถานี Kyoto มีร้านอาหารอยู่หลายร้านที่น่าสนใจ

เดินๆสำรวจดูที่ชั้นใต้ดินของสถานี มีร้านอาหารเพียบเลย แต่เราเลือกร้านนี้ ชื่อร้าน "Ginza Shisen" ดูเป็นอาหารออกแนวจีนๆหน่อย

เมนูที่เราอยากกินคือ "มาโบด้ง" ของโปรด! เซ็ตนี้ชามใหญ่มาก!! กินทีจุกเลย แต่อิ่มสะใจดีนะ ชอบมากๆ

หลังจากอิ่มแล้ว เวลายังเหลืออีกกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงรอบรถไฟชินคังเซ็นที่เราจองเอาไว้นั่งกลับโอซาก้า ก็เลยเดินออกไปถ่ายรูป Kyoto Tower เล่นเพลินๆ

ตอนมองลงมาจากวัดคิโยมิสึเดระก็เห็นไปรอบนึงและล่ะเนอะ

หลังจากนั้นก็จวนได้เวลากลับโอซาก้าแล้ว เดินเข้าสถานีเพื่อไปขึ้นรถไฟชินคังเซ็น

ยืนรอรถไฟบนชานชาลาที่ดูเงียบสงบ

รอบรถไฟที่เราจะนั่งกลับโอซาก้าคือ รถไฟ Shinkansen Hikari 527 จะออกจากสถานี Kyoto เวลา 21.13 น. ไปถึงสถานี Shin-Osaka เวลา 21.26 น.

นั่งรถไฟชินคังเซ็นแค่ 13 นาทีก็มาถึงสถานี Shin-Osaka เป็นที่เรียบร้อย

จริงๆอยากจะไปเดินเล่นแถวย่านเท็นโนะจิต่อนะ แต่แบบว่าเหนื่อยและล้ามากๆกันทั้งสามแม่ลูก เลยล้มแผนแล้วกลับที่พักกันเลยดีกว่า เดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line เหมือนเดิม

ต่อคิวกดซื้อตั๋วรถไฟจากตู้ขายตั๋วหน้าสถานี

ค่าโดยสาร 270 เยนเหมือนเดิม

ยืนรอรถไฟแล้วรู้สึกหวิวๆเหมือนถ่านพลังชีวิตตัวเองใกล้หมด ต้องประคองตัวหน่อย เหนื่อยจัด ฮ่าๆ

ใช้เวลา 15 นาทีก็นั่งรถไฟกลับมาถึงสถานี Namba แล้ว เดินขึ้นจากสถานีรถไฟมาผ่านย่านโดทมโบริเพื่อกลับที่พัก ดึกขนาดนี้แล้วผู้คนยังพลุกพล่านอยู่เลย

เดินผ่านคุณปูยักษ์อีกครั้งก่อนจะเข้าที่พัก

วันนี้ถือว่าเข้าที่พักเร็วนะ ก่อนสี่ทุ่มซะอีก ซึ่งก็เพราะว่าเหนื่อยจัดจริงๆน่ะ.. แต่อย่างน้อยก็ผ่านพ้นวันที่ต้องเที่ยวสถานที่ต่างๆเยอะที่สุดของทริปนี้ไปได้ด้วยดีนะ ได้เที่ยวเกือบครบตามแพลนที่เราวางไว้ด้วย น่าประทับใจมากๆ การเดินทางของเรามันแหวกกระแสไม่เหมือนใครเท่าไหร่ มีอย่างที่ไหนไปเดินต่อรถไฟตามชนบท ฮ่าๆ

พรุ่งนี้ก็จะต้องออกจากโอซาก้าไปโตเกียวแล้ว แต่ว่ายังมีโอซาก้าและโกเบที่จะต้องไปเที่ยวทิ้งทวนรออยู่ รีบพักผ่อนดีกว่า ราตรีสวัสดิ์ครับ!

About Puttiano Rossi

"เป้าหมายของเราคือการไปเยี่ยมเยือนให้ครบทั้ง 47 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีก็จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้"

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon
  • Black Twitter Icon
Never Miss a Post!
bottom of page