top of page

2013.05.17 Japan Trip #3 Day7 - Kobe,Osaka,Tokyo


วันสุดท้ายของการเที่ยวตามเมืองต่างๆทั่วญี่ปุ่น วันนี้เรามีแพลนที่จะไปเที่ยวโกเบและเก็บตกในโอซาก้าด้วย ว่าจะไปปราสาทโอซาก้าและชอปปิ้งที่ชินซัยบะชิย่านชอปปิ้งที่แถวนัมบะ ก่อนจะนั่งชินคังเซ็นเข้าสู่โตเกียวแล้วก็เที่ยวในโตเกียวต่อด้วยเหตุที่ว่า JR Pass จะหมดอายุวันเรียบร้อย

เช็คเอ๊าท์ออกจากโรงแรมที่พักเกือบๆ 8 โมงเช้า เดี๋ยวจะนั่งรถไฟไปเที่ยวที่เมืองโกเบกัน

เดินผ่านมาถึงสะพานตรงโดทมโบริ วันนี้แดดแรงไปซักนิด

เดินลากกระเป๋าผ่านมาถึงหน้าคุณกูลิโกะ

ช่วงเช้าๆคือว่างโล่งไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ถ่ายรูปได้สบายๆ

เจอคุณกูลิโกะทั้งทีมันต้องทำท่าเลียนแบบซะหน่อยตามสูตร ฮ่าๆ

เดินไปยังรถไฟใต้ดินสถานี Namba ฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ที่ตู้ Coin Locker แถวๆสถานี จากนั้นก็นั่งรถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line จากสถานี Namba ไปลงที่สถานี Shin-Osaka

แล้วต่อรถไฟ JR สาย Kyoto Line จากสถานี Shin-Osaka ไปลงที่สถานี Osaka ก่อนจะไปต่อรถไฟ JR สาย Kobe Line จากที่นั่นไปยังโกเบอีกทอด

ขึ้นรถไฟที่สถานี Shin-Osaka

มาถึงสถานี Osaka ก็ต่อรถไฟสาย Kobe Line ที่สายนี้มีทั้งสายธรรมดา(Local), สาย Rapid, สาย Special Rapid เราเลือกนั่งแบบ Special Rapid เพราะถึงที่หมายเร็วที่สุด

ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเราก็มาถึงสถานี Kobe เป็นที่เรียบร้อย

ตามแพลนเช้าวันนี้ เราจะเดินเที่ยวโกเบ โดยเริ่มจาก Harbourland และ Port Tower ก่อน จะต้องเดินตรงออกจากสถานีไปทางสวนสนุก Mosaic แล้วเดินเลาะไปตามริมท่าเรือต่อไป

ระหว่างเดินก็โด๊ปกาแฟไปพลางๆก่อน เดี๋ยวข้าวเช้าเอาไว้ไปกินที่ย่านไชน่าทาวน์กลางเมืองโกเบ

เดินตรงดิ่งจากสถานี Kobe มาตามทางเรื่อยๆ ถึงสวนสนุก Mosaic ที่มีชิงช้าสวรรค์รอเราอยู่

สองฝั่งข้างทางในย่านนี้เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าและโรงแรม

นั่นไงล่ะ! ชิงช้าสวรรค์ที่เป็นหนึ่งในไฮไลท์ที่ Kobe Port แห่งนี้

น้องคนนี้โพสต์ท่าถ่ายรูปเก่งมาก! ยืนดูอยู่แบบว่าคุณแม่ก็ถ่ายไปเถอะ คุณน้องคนนี้ก็แอ๊คท่าซะ ฮ่าๆ

ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Anpanman Children's Museum & Mall ที่ตอนกลางคืนจะเปิดไฟ Illumination สวยงามมากๆ

เดินผ่านมาบริเวณท่าเรือ ก็จะเห็น Kobe Port Tower อยู่ข้างหน้านั่น

เป็นอีกหอคอยนึงที่เราได้มีโอกาสได้มาเห็นที่ญี่ปุ่น เดี๋ยวเราจะเดินไปตรงหอคอยนั้นพร้อมกัน

เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมสมัยใหญ่ที่สวยงามมากๆ

ซูมเข้าไปดูจะเห็นผู้คนที่ชมวิวอยู่ด้านบนข้างใน Port Tower นั่น

และเราก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปคู่กับ Kobe Port Tower นี้ ฮ่าๆ

ข้างๆ Port Tower ที่เป็นโครงเหล็กสีขาวๆนั่นคือ Meriken Park

เรามักจะได้เห็นรูป Kobe Port Tower คู่กับ Meriken Park ที่อ่าวโกเบเสมอๆ

ในที่สุดก็ได้มาเที่ยวที่อ่าวโกเบแล้วนะ!

เดี๋ยวเราจะเดินจาก Mosaic ฝั่งนี้ ไปยังฝั่ง Port Tower ทางโน้นบ้าง

เดินมาฝั่งนี้แล้วก็หันกลับไปมองเจ้าชิงช้าสวรรค์ยักษ์ที่ตอนนี้เหลือกระจิ๋วเดียว

ขนาดว่าใช้เลนส์ 70-200 ซูมแล้วก็ยังเห็นได้แค่เท่านี้เอง

เดินมาจนถึงข้างใต้ของ Port Tower แต่เราไม่ได้ขึ้นไปชมวิวข้างบนหอคอย เราเลือกเดินไปไชน่าทาวน์ต่อทันทีเพราะเริ่มหิวข้าวแล้ว..

จาก Port Tower มีสะพานทอดยาวข้ามถนนและทางด่วนไปฝั่งตรงข้ามซึ่งตรงเข้าสู่ใจกลางเมืองโกเบ

เรากำลังจะเดินไปยังย่านไชน่าทาวน์ของเมืองโกเบ

เดินมาตามทางเรื่อยๆ ข้ามถนนผ่านแยกก็มีรูปปั้นนี้ตั้งอยู่

เดินมาประมาณ 15 นาทีก็มาถึงทางเข้าย่านไชน่าทาวน์

ดีใจมากๆที่เดินมาถึงเพราะว่าหิวข้าวแบบสุดๆแล้วจ้า ฮ่าๆ

ฝาท่อที่เมืองโกเบ มีสัญลักษณ์ครบเลยทั้งอ่าวโกเบที่มีท่าเรือกับ Kobe Port Tower และ Meriken Park, ย่านไชน่าทาวน์,ย่านคิตะโนะที่เป็นย่านของอดีตสถานฑูตชาติตะวันตกเก่า

ย่านไชน่าทาวน์ของโกเบก็คล้ายๆกับของเมืองอื่นประเทศอื่นทั่วไปที่มีแต่สีแดงเต็มไปหมด

แน่นอนว่าขึ้นชื่อว่าไชน่าทาวน์แล้วมันก็ต้องเป็นที่ๆรวมอาหารการกินเอาไว้มากมายหลายร้าน

ซึ่งก็แน่นอนว่ามีผู้คนแวะเวียนกันมาหาข้าวกินกันเยอะแยะมากมาย บ้างก็นั่งกินที่ร้านบ้างก็ซื้อมานั่งกินข้างทาง

ส่วนเราเดินเข้าร้านข้างทางร้านนึง แล้วสั่งชาฮั่งพร้อมราดเต้าหู้เสฉวนมากินชามนึง ก่อนจะไปหาอะไรกินจุบจิบต่อเรื่อยๆ

หลังจากอิ่มท้องจากไชน่าทาวน์ ก็ได้เวลากลับไปเดินเที่ยวที่โอซาก้าต่อตามแพลนครึ่งเช้าเที่ยวโกเบ ครึ่งบ่ายเที่ยวโอซาก้า เราเดินทะลุไชน่าทาวน์ขึ้นไปทางทิศเหนือ จะเจอสถานีรถไฟ JR

สถานี Motomachi เป็นสถานีที่อยู่ใกล้ไชน่าทาวน์มากๆ

เดินเข้ามารอรถที่ชานชาลา รถไฟที่เราจะนั่งกลับโอซาก้าคือรถสาย Kobe Line Rapid ที่จะมาถึงเวลา 11.54 น.

หลังจากรถไฟออกจากสถานี Motomachi เวลา 11.54 น. ก็มาถึงสถานี Osaka เวลา 12.23 น. จุดหมายต่อไปที่เราจะไปก็คือปราสาทโอซาก้า ซึ่งต้องนั่งรถไฟ JR สาย Osaka Loop Line จากสถานี Osaka ไปลงที่สถานี Osaka-jo Koen

ขึ้นรถไฟ JR สาย Osaka Loop Line จากสถานี Osaka เวลา 12.34 น. มาถึงสถานี Osaka-jo Koen เวลา 12.43 น.

มาถึงสถานี Osaka-jo Koen แล้ว

เดินออกมาหน้าสถานีรถไฟท่ามกลางแสงแดดที่เจิดจ้ามากๆ ร้อนจนหัวแทบแตก..

เจอฝาท่อในบริเวณสวนปราสาทโอซาก้า ก็เป็นลวดลายปราสาทโอซาก้านั่นเอง

เดินออกมาจากสถานีรถไฟก็ได้ยินเสียงเพลงไทย ก็นึกสงสัยว่าใช่หรือว่าเราหูฝาดไป.. เอาเป็นว่าก็เดินเข้ามาดูให้รู้ละกัน

นั่นไงใช่จริงๆด้วย บริเวณกลางสนามของสวนปราสาทโอซาก้านี้กำลังจะเป็นที่จัดงานเทศกาล Thai Festival ในวันพรุ่งนี้ วันนี้เป็นวันเตรียมงานก็เลยยังไม่มีอะไรมากกว่าแค่เซ็ตสถานที่ เสียดายที่อยู่ไม่ถึงวันงานจริงเนอะ

และคนที่ซ้อมร้องเพลงอยู่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน "แก้ม The Star" นั่นเองจ้า

เดินผ่านลานที่จัดงานมาเรื่อยๆ ก็เจอทางเข้าปราสาทโอซาก้าแล้ว

ปราสาทที่ญี่ปุ่นเกือบทุกปราสาทต้องมีน้ำล้อมรอบหลายชั้นตามตำรายุทธศาสตร์

เห็นปราสาทกันรึยังเอ่ย? เด่นสง่าแต่ไกล

เดินตามเด็กๆที่มาทัศนศึกษาเข้าไปตามทาง

เราเดินอ้อมมาเข้าประตูด้านหลังปราสาท ต้องเดินวนไปทางเข้าปราสาทข้างหน้าซะก่อนจึงจะเข้าไปชมปราสาทได้

เดินวนมาถึงด้านหน้าปราสาทแล้ว เดี๋ยวจะเข้าไปชมวิวข้างบนปราสาทซะหน่อยๆ

ถ่ายรูปคู่กับคุณแม่ ลูกชายพาคุณแม่มาเที่ยวแล้วนะครับ

ซื้อตั๋วเข้าชมจากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติหน้าปราสาท ค่าเข้าชม 600 เยน

เดินชมนิทรรศการภายในปราสาทเล็กน้อย ก่อนจะเดินขึ้นมาถึงชั้นบนสุด ที่มีระเบียงออกไปชมวิวพร้อมรับลมและอากาศบริสุทธิ์ได้ด้วย

ข้างบนนี้สามารถมองเห็นวิวเมืองรอบๆปราสาทได้ทั้ง 360 องศาเลยด้วยนะ

เจอชะจิโฮโกะที่ปราสาทโอซาก้าด้วยเหมือนที่ปราสาทนาโกย่าเลยล่ะ

จริงๆก็มีชะจิโฮโกะนี้ทุกมุมจั่วของหลังคาปราสาทเลย

ก่อนจะเดินออกจากปราสาท เราเดินไปต่อแถวปั๊มตราปั๊มเก็บเป็นที่ระลึก วุ่นว่ายหน่อยเพราะเด็กมาทัศนศึกษาเยอะมากๆ

เสร็จจากปราสาทโอซาก้า ต่อไปก็เป็นเวลาแห่งการชอปปิ้งแล้วจ้า เดี๋ยวจะต้องเดินออกมาขึ้นรถไฟใต้ดินเพื่อกลับไปที่นัมบะ และอีกอย่างคือเรานัดเซฟี่น้องที่มาเรียนอยู่ที่โอซาก้านี่ไว้ด้วย ว่าจะไปเดินเล่นด้วยกันซะหน่อย

ใช้เวลาเดินออกจากบริเวณปราสาทนานพอควร กว่าจะมาถึงทางเข้ารถไฟใต้ดินสถานี Morinomiya

ไปลงสถานี Shinsaibashi ค่าโดยสาร 230 เยน

แผนที่ของรถไฟใต้ดิน Osaka Subway มีประโยชน์ก็ในตอนนี้เนี่ยล่ะ!

เดี๋ยวจะต้องนั่งรถไฟใต้ดินสาย NagahoriTsurumiryokuchi Line จากสถานี Morinomiya ไปลงที่สถานี Shinsaibashi

มาถึงสถานี Shinsaibashi ตอนบ่าย 3 โมงกว่าๆ แต่เรานัดกับเซฟี่ไว้ตอนบ่าย 3 โมง เนื่องจากมาเลทแล้ว ก็เลยให้คุณแม่กับน้องสาวเดินชอปปิ้งไปกันสองคน ส่วนเราขอปลีกตัวไปเจอเซฟี่ แล้วก็นัดเวลากลับมาเจอคุณแม่และน้องสาวตอน 5 โมงเย็นที่หน้าป้ายคุณกูลิโกะ

บอกทางแม่กับน้องอย่างดิบดี ไอ้เราสิหลงทางเอง.. ดันเดินหลงทิศไปซะไกล กว่าจะตั้งลำได้แล้วมุ่งไปยังหน้าชอปของ NMB48 ได้ ก็เกือบ 4 โมงเย็นและ ขออภัยเซฟี่ด้วยครับ..

เดินทะลุผ่านถนนชอปปิ้งตรงชินซัยบะชิ มุ่งหน้าไปทางห้าง Namba City

ได้เจอคุณเซฟี่ละจ้า

ที่นี่มี AKB48 Cafe & Shop สาขานัมบะอยู่ด้วยซิ

ซึ่งลักษณะของคาเฟ่ก็คล้ายๆที่อะคิบะอยู่เหมือนกัน

เข้าไปอุดหนุนรูปชอปข้างใน NMB48 Official Shop ซักนิดพอเป็นพิธี

เดินเล่นกันแป๊บนึงก็ชวนกันไปนั่งกินซูชิที่ร้าน Sushi Zanmai ตรงถนนชอปปิ้งเอบิสึบะชิ

แล้วก็มาเดินเล่นแถวๆโดทมโบริต่ออีกหน่อย ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเนื่องจากคุณเซฟี่มีธุระต่อ และเราก็นัดคุณแม่และน้องสาวเตรียมเข้าโตเกียวไว้ตอน 5 โมงเย็นด้วย

ระหว่างรอเห็นคุณแม่กับน้องสาวยังไม่มีทีท่าว่าจะมาที่จุดนัดพบซะที เราเลยเดินไปต่อแถวซื้อทะโกะยะกิที่ร้านใกล้ๆมากินรอ

ยืนกินมันตรงหัวสะพานนี่ล่ะวะ ฮ่าๆ

กว่าคุณแม่กับน้องสาวจะมาถึงก็เกือบจะ 5 โมงครึ่งแล้ว ต้องรีบทำเวลาเลยล่ะ เนื่องจากว่าเราจองที่นั่งรถไฟชินคังเซ็นไปโตเกียวเอาไว้แล้วในตอนเช้าคือรอบเวลา 18.13 น. (ถ้าไปไม่ทันต้องจองใหม่) ก็เลยรีบเดินไปยังสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อเอากระเป๋าสัมภาระจากตู้ Coin Locker แล้วก็รีบไปขึ้นรถไฟสาย Midosuji Line จากสถานี Namba ไปลงที่สถานี Shin-Osaka ต่อทันที

ถึงสถานี Shin-Osaka ก็รีบเดินไปที่สถานีรถไฟชินคังเซ็น ยืนรอรถไฟที่ชานชาลา

รถไฟมาแล้ว ขอกล่าวอำลาภูมิภาคคันไซสำหรับทริปนี้ เอาไว้จะมาเที่ยวใหม่นะ!

รถไฟที่เราจะนั่งไปโตเกียวคือ Shinkansen Hikari 532 ออกจากสถานี Shin-Osaka เวลา 18.13 น. จะไปถึงสถานี Tokyo เวลา 21.10 น. ล่ะ

พอมาถึงสถานี Tokyo ปุ๊บก็ต้องรีบไปต่อรถไฟ JR สาย Chuo Line วิ่งตัดผ่านวงกลม Yamanote ไปลงที่สถานี Shinjuku เพื่อไปให้ถึงโรงแรมให้เร็วที่สุดเนื่องจากว่าต้องไปเช็คอินให้ทันในเวลา 4 ทุ่ม

รถไฟออกจากสถานี Tokyo เวลา 21.19 น. มาถึงสถานี Shinjuku เวลา 21.33 น. และเราต้องต่อรถไฟ JR สาย Yamanote Line ไปลงที่สถานี Shin-Okubo ซึ่งอยู่ใกล้แค่สถานีเดียว แต่เราดันไม่ระวังจนขึ้นรถไฟผิดฝั่งนั่งฝั่งไปชิบุย่าซะงั้น.. เลยต้องเสียเวลาลงสถานี Yoyogi แล้วนั่งย้อนกลับไปทางฝั่งไปอิเคะบุคุโระเพื่อจะกลับมาลงสถานี Shin-Okubo

สุดท้ายไปถึงที่พักที่ Shin-okubo International Hotel เวลา 4 ทุ่มพอดีเป๊ะ! ก็ได้เช็คอินทันพอดี

เช็คอินจ่ายค่าที่พัก 5 คืน 58,500 เยน ได้ห้องหมายเลข 208

เก็บกระเป๋าสัมภาระแล้วก็ว่าจะออกไปหาอะไรกินเป็นมื้อเย็นกัน แต่แล้วมีเรื่องดราม่าเกิดขึ้นจนได้ เมื่อเราจะหยิบ Galaxy Tablet ติดตัวออกไปด้วย แต่มันไม่อยู่ในกระเป๋า ชิบหายละ..

เนื่องจากว่าตั๋วที่นั่งของรถไฟชินคังเซ็นจากโอซาก้ากลับมาที่โตเกียวที่เราจองได้นี่มันไม่ได้นั่งติดกัน แล้วเราก็ชะล่าใจเกินไปคือแบบคิดว่ามาโตเกียวแล้วเป็นที่คุ้นเคยก็เลยแบบไม่ได้ดูได้เช็คอะไรให้ดีพอ พอรถไฟจอดสุดท้ายที่สถานี Tokyo ก็เลยมัวแต่ไปเก็บของยกกระเป๋านู่นนี่ให้คุณแม่และน้องสาว จนลืมที่จะเก็บ Galaxy Tablet ที่ใส่ไว้ตรงตาข่ายหน้าเบาะที่นั่งและก็ไม่ได้สำรวจดูให้ดีด้วย พูดง่ายๆก็คือลืม Galaxy Tablet ไว้บนรถไฟชินคังเซ็นขบวนที่นั่งมาโตเกียวนั่นล่ะ กว่าจะรู้ตัวก็มาถึงที่พักแล้ว.. ป่านนี้จะไปตามหาได้ที่ไหนล่ะ.. เราใจเสียและเครียดไปพักใหญ่เลยทีเดียว คุณแม่ก็คอยพูดปลอบใจและก็แนะนำให้ไปลองถามสตาฟฟ์โรงแรมดู ซึ่งสตาฟฟ์โรงแรมเค้าก็แนะนำให้เดินไปถามเจ้าหน้าที่ประจำสถานี JR ที่ชินจุกุดู เผื่อจะได้เรื่องอะไรบ้างหรือต้องทำยังไง เราก็เลยรีบเดินจากโรงแรมมุ่งหน้าไปที่สถานี Shinjuku แบบรีบร้อน..

เดินอย่างเร่งรีบมาถึงสถานี Shinjuku คนเยอะพลุกพล่านมาก มันยิ่งทำให้เราหงุดหงิดรำคาญใจสุดๆ

เดินหาเค้าน์เตอร์เจ้าหน้าที่ตรงเกทเข้าออกสถานี เค้าบอกว่าต้องติดต่อที่สถานี Tokyo เท่านั้นนะ เราก็ขอให้เค้าช่วยหาเบอร์โทรประสานให้หน่อย เจ้าหน้าที่สถานีที่นี่พูดอังกฤษไม่ค่อยได้ เราก็เลยต้องพูดอังกฤษปนญี่ปุ่นกะเค้าไปซึ่งก็โอเคพอรู้เรื่องกัน แต่ตอนโทรไปที่สถานีโตเกียวเท่านั้นล่ะ เจ้าหน้าที่ที่รับสายพูดอังกฤษไม่ได้เลย ทำเอากูเครียด! เราก็เลยต้องพยายามคุยด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบงูๆปลาๆของเรา สุดท้ายก็ได้ความว่า "ยังไม่มีแจ้งเข้ามา" "ยังไม่พบ Galaxy Tablet" ครับ แต่ว่าเค้าบอกว่าให้ลองมาติดต่อดูอีกทีที่สถานีโตเกียวพรุ่งนี้ อาจจะได้เรื่องก็ได้

ซึ่งเราก็ได้โทรหาอาอู๋และคุณแฟน ทั้งสองก็พูดเหมือนกันว่าโอกาสได้คืนก็มีสูงเพราะว่ารถไฟชินคังเซ็นที่เรานั่งมาโตเกียวนั้นเป็นรถที่นั่งมาสุดสาย แถมที่นั่งก็เป็นแบบ Reserved Seat นั่นเท่ากับว่าหากเจ้าหน้าที่หรือพนักงานทำความสะอาดพบเจอ ถ้าเค้าไม่แฮปไปซะก่อนก็ต้องส่งคืนอย่างแน่นอน! เราก็พยายามคิดในแง่ดีตามนั้น แต่มันก็อดร้อนรนและเครียดไม่ได้จริงๆ ยิ่งโดนกดดันอย่างหนักเนื่องด้วยพรุ่งนี้มีโปรแกรมต้องไปเที่ยวที่คะวะกุจิโกะแต่เช้าด้วยอีก ยิ่งทำให้เราเครียดมากขึ้นเป็นทวีคูณ จะไปติดต่อถามหาของคืนได้เมื่อไหร่? จะได้คืนไหม? แล้วจะกลับมาเตรียมตัวไปคะวะกุจิโกะได้กี่โมง? จะได้ไปคะวะกุจิโกะไหม? เราเครียดมากจริงๆนะตอนนั้น น้ำตาจะไหลเอา

แต่คุณแม่ก็คอยพูดให้เรายืนอยู่บนความเป็นจริง อย่าคิดมากไป ถ้าหายก็คือมันไม่อยากอยู่กับเรา ถึงเวลาของมันแล้ว และเราก็เลินเล่อเองที่ลืมทิ้งมันเอาไว้เอง ส่วนเรื่องไปเที่ยวพรุ่งนี้ จะไปกี่โมงก็ถึงเหมือนกัน ไม่ต้องรีบร้อน หาข้าวเย็นกินก่อน แล้วทำใจให้สบายๆ.. สุดท้ายก็เดินหาร้านอาหารแถวๆย่านคะบุกิโจ จำไม่ได้และว่ากินอะไรไป น่าจะเป็นเซ็ตแซลม่อนมั้ง คือจิตตกจริงๆ ไม่มีกะใจถ่ายรูปหรือจดจำอะไรทั้งนั้น กินเสร็จก็เดินกลับโรงแรมหงอยๆ

พรุ่งนี้เรามีแพลนจะไปเที่ยวคะวะกุจิโกะเพื่อไปเยี่ยมและทักทายฟูจิซัง แต่ก่อนอื่นเราต้องไปตามหา Galaxy Tablet คืนที่สถานี Tokyo ก่อน ต้องตื่นแต่เช้าจะได้ไม่เบียดเบียนเวลาเที่ยวมาก หวังว่าคงจะได้คืนนะ! ช่วยภาวนาให้เราด้วยนะทุกคน

About Puttiano Rossi

"เป้าหมายของเราคือการไปเยี่ยมเยือนให้ครบทั้ง 47 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีก็จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้"

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon
  • Black Twitter Icon
Never Miss a Post!
bottom of page