top of page

2014.10.24 Japan Trip #7 Day2 - Nikko (Lake Chuzenji)


วันนี้ออกจากโตเกียวแต่เช้าตรู่ด้วยรถไฟ Tobu เพื่อไปเที่ยวที่นิกโก้และจะค้างคืนที่นิกโก้เป็นเวลา 1 คืน ตามแพลนแล้วในวันนี้จะนั่งบัสขึ้นไปเที่ยวแถวโอคุนิกโก้ก่อนเพราะใบไม้แดงมันค่อนข้างจะร่วงโรยแล้ว ไปเร็วยิ่งดี ถึงแม้ว่าจะไปแล้วจะเจอทิวทัศน์ที่เริ่มออกสีน้ำตาลๆส้มๆไปส่วนใหญ่แล้วก็ตาม

เส้นทางที่ไปเดินชมใบไม้แดงคือเส้นทางเซ็นจุกะฮะมะ ที่เป็นเส้นทาง hiking รอบทะเลสาบจูเซ็นจิ มีระยะทางกว่า 4 กม. เส้นทางนี้น้อยคนนักที่จะไปเดิน ส่วนมากนักท่องเที่ยวจะไปเดินเส้นทางฝั่งใกล้ๆกับจูเซ็นจิอนเซ็นหรือที่ราบเซ็นโจกะฮะระเสียมากกว่า แต่แน่นอนว่าทริปของเรานั้นจะต้องพิเศษกว่าใครใช่มั้ยล่ะ!

ตื่นแต่เช้ามาก เช้าที่สุดในทริปนี้เลย เนื่องจากต้องไปรอขึ้นรถไฟไปนิกโก้รอบเวลา 7.10 น. ที่เลือกรอบเช้าเพราะต้องการมีเวลาเที่ยวให้มากขึ้น เนื่องจากช่วงหน้าหนาวนี่ฟ้ามืดเร็วเหลือเกิน

เช็คเอ๊าท์ออกจากที่พักแต่ฝากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เอาไว้ ติดตัวไปแค่เสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเป้สะพายไปค้างคืนที่นิกโก้ เดินไปขึ้นรถไฟใต้ดิน Toei สาย Asakusa Line จากสถานี Asakusabashi ไปลงที่สถานี Asakusa จากนั้นก็เดินต่ออีกนิดไปสถานีรถไฟ Tobu ที่อยู่ใกล้ๆ มาถึงตั้งแต่ 6.45 น. ทันเวลาแบบเหลือเฟือเลย

รอบรถไฟที่สามารถใช้ตั๋ว All Nikko Pass นั่งโดยสารได้นั้นจะเป็นรอบรถที่เป็นแถบช่องสีฟ้าคือ Rapid กับ Section Rapid เท่านั้น ซึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา แต่ถ้าใครอยากจะนั่งรถไฟ Limited Express ขบวน Specia หรือ Kinugawa ล่ะก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มเอาเองนะ เพราะตั๋ว All Nikko Pass นั้นไม่รองรับ

รถไฟมาจอดรอก่อนเกือบครึ่งชั่วโมงแน่ะ รีบมาถึงก่อนเวลาก็ดีจะได้เลือกที่นั่งได้ก่อน เนื่องจากที่นั่งบนรถไฟขบวนที่จะไปนิกโก้นั้นมีอยู่แค่ 2 ตู้รถสุดท้ายคือตู้ที่ 5-6 อีก 4 ตู้รถที่เหลือจะไม่ได้เข้านิกโก้แต่มุ่งหน้าไปคินุกะวะ แต่ในช่วงแรกนั้นสามารถไปนั่งก่อนได้ จนถึงสถานี Shimo-Imaichi ที่ตู้รถไฟที่ 1-4 กับ 5-6 จะแยกกันไปคนละทางอย่างที่บอก

รถไฟออกเดินทางแล้ว ตลอดเส้นทางก็เป็นทิวทัศน์แบบตามชนบททั่วไป มีป่าไม้สลับกับบ้านเรือนเป็นระยะๆ

เข้าเขตของจังหวัดโทชิกิแล้ว อีกไม่ไกลๆ

ใช้เวลา 2 ชม. 15 นาที เราก็มาถึงนิกโก้แล้ว มาลงสุดสายที่สถานี Tobu-Nikko เลย

มีตั๋ว All Nikko Pass ก็เที่ยวนิกโก้ได้ง่ายๆแบบครอบคลุมทั้งรถไฟและรถบัสตลอดทั้ง 4 วัน(แต่เราใช้แค่ 2 วันซึ่งก็คุ้มแล้ว) จองได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตและไปติดต่อรับได้ที่ Tourist Center หน้าทางขึ้นสถานี Tobu-Asakusa นะทุกคน

รถไฟจอดเทียบชานชาลา ผู้โดยสารที่เกือบทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยวก็ทยอยกันเดินออกจากรถไฟกัน

ขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อยละกันนะ

เดินออกจากชานชาลามา ก็จะเห็น Tourists Information Center อยู่ทางด้านซ้ายมือ เราเดินไปหยิบแผนที่กับตารางรถบัสสำหรับเที่ยวนิกโก้มา

และมีตู้ Coin Locker อยู่ทางขวามือด้านหลังทางเดินไปห้องน้ำ ซึ่งตู้ก็มีว่างเยอะเลยล่ะ เรากับคุณแม่และคุณน้าเอากระเป๋าที่เตรียมชุดมาค้างคืนไปฝากไว้ที่ตู้ด้วย ตู้ขนาดเล็ก 300 เยนก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา

เคลียร์เรื่องสัมภาระเรียบร้อย เดินตัวปลิวพร้อมกล้องถ่ายรูปออกมาหน้าสถานี Tobu-Nikko มองหาป้ายรถบัสกันดีกว่า

ป้ายรถบัสอยู่ตรงข้ามสถานีเลย แบ่งเป็น 3 เส้นทางคือ 2A ไปถึง Yumoto-onsen 2B ไปถึงแค่ทะเลสาบจุเซ็นจิ(ครึ่งทางของ 2A) และ 2C ไปทางฝั่ง World Heritage Area

จุดหมายที่เราและคณะจะไปเดินเที่ยวกันในวันนี้ก็คือเส้นทางเดินเซ็นจูกะฮะมะ ซึ่งทางเข้าจะอยู่ใกล้ๆกับน้ำตกริวสุ เราจะต้องนั่งรถบัสเส้นทาง 2A เท่านั้นถึงจะไปถึงที่หมายนั้น

อันนี้เป็นแผนผังป้ายรถบัส ซึ่งจะเห็นว่ารถบัสทุกสายจะผ่านป้าย Nishisando และผ่านสะพานชินเคียว เราสามารถลงรถบัสแล้วเดินไป World Heritage Area ได้ทั้งหมดเลย(อยู่ใกล้กันมากๆ) ก่อนที่รถบัสจะแยกกันไปตามเส้นทางหลังจากนี้

รถบัสในเส้นทาง 2A กับ 2B นั้นจะขึ้นเขาไปทางเดียวกัน แต่ 2B จะจอดสุดสายที่ป้าย Chuzenji-Onsen หรือก็คือป้ายแรกเมื่อมาถึงทะเลสาบจุเซ็นจิ คนที่มาเที่ยวนิกโก้จะมาที่นี่กันเป็นส่วนใหญ่ ส่วน 2A นั้นจะเลยขึ้น Oku-nikko ไป ผ่านทั้งน้ำตก Ryuzu และริมหาด Shobugahama ไปจนถึง Yumoto-onsen เลย ซึ่งเราก็ต้องรอขึ้นรถบัส 2A สายนี้นั่นล่ะ

ส่วนอันนี้คือผังรถบัสไป World Heritage Area ตามที่เห็นนี่ยังน้อย เอาจริงๆจะมีรถบัสแบบเสริมไปวิ่งคั่นเวลาด้วย คือรถที่วิ่งตรงไปสุดสายที่ Nishisando เท่านั้น ซึ่งมันก็เร็วดีนะเพราะมันสามารถเดินไปเที่ยวต่อได้ทันทีเลย ระยะทางก็ไม่ได้ไกลอะไรเท่าไหร่นัก 10-15 นาทีถึง ประหยัดเวลารอรอบรถบัสได้มากเลย

ด้วยความที่แถบโอคุนิกโก้นั้นเป็นเขตที่ราบสูง ตลอดเส้นทางของรถบัสก็จะเป็นการขึ้นเขาวนไปตามถนนที่คดเคี้ยว และเนื่องจากคนล้นเต็มคันรถมากๆ เราขึ้นรถมาถึงก็ต้องยืนไปตลอดทางเป็นเวลาชั่วโมงเศษๆ กว่าจะถึงก็เล่นเอาเมื่อยไปพอสมควร

ขึ้นมาถึงทะเลสาบจุเซ็นจิแล้ว รถบัสก็ขับลัดเลาะไปตามเส้นทางถนนริมทะเลสาบเรื่อยๆ

การจราจรจะไปติดหน่อยตรงก่อนถึงป้าย Akechidaira เพราะจะมีรถยนต์ของนักท่องเที่ยวที่จะมาขึ้นกระเช้าเยอะมากๆจนติดขัด กว่าจะผ่านไปได้ก็โดนไปหลายสิบนาที ไปถึงป้าย Shobugahama ก็เกือบๆเที่ยงแล้วอ่ะ

จริงๆแล้วทางเข้าเส้นทางเซ็นจุกะฮะมะนั้นอยู่ใกล้กับน้ำตกริวสุ แต่เราเตรียมข้อมูลมาไม่ดี ดันคิดว่ามันอยู่ใกล้กับเส้นทางริมหาดโชบุกะฮะมะ เราเลยลงรถบัสที่ป้าย Shobugahama แทนที่จะเป็นป้าย Ryuzu no Taki ลงรถบัสมาปรากฏว่าสัญญาณเน็ตไม่มี ที่อ่านรีวิวมาก็ดันลืมแล้วซะอีก! ระหว่างนึกระลึกชาติไปเราก็เดินงมทางไปด้วย นี่เดินย้อนมั่วเข้าไปตรงริมท่าเรือชมวิวรอบทะเลสาบ แต่สุดท้ายก็ต้องไปถามคนในพื้นที่แถวๆนั้นดู เค้าก็บอกว่าต้องเดินตรงไปอีกจะเจอถนนทางซ้ายมือแรก คือมันอยู่ใกล้ทางเข้าน้ำตกริวสุนู่นเลย..

แล้วเราก็เดินตรงมาเรื่อยๆจนถึงหน้าน้ำตกริวสุ มาถึงน้ำตกทั้งทีก็ขอแวะเข้าไปเข้าห้องน้ำห้องท่าหน่อยละกันนะ

เข้าห้องน้ำเสร็จเดินผ่านร้านอาหารข้างหน้าทางเข้าน้ำตก เห็นว่ามีโต๊ะว่างๆอยู่พอดี เลยชวนทุกคนนั่งกินข้าวเที่ยงเติมพลังกันซะก่อนจะไปเดินเที่ยวกันยาวๆ ไหนๆตอนนี้ก็เที่ยงแล้วด้วย

กินง่ายๆ อุด้งร้อนๆพร้อมผักเท็มปุระ ชามนี้ราคา 600 เยน อิ่มสบายพุงมากๆ

หลังจากกินมื้อเที่ยงกันอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาเริ่มต้นมิชชั่นในวันนี้กันเสียที ทางเข้าเส้นทางเซ็นจุกะฮะมะนั้นอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าน้ำตกริวสุตามที่คนญี่ปุ่นที่เราถามทางมาบอกจริงๆด้วย แสดงว่าข้อมูลในเว็บ pantip.com ผิดสินะ..

มาพรีวิวเส้นทางเดินลัดเลาะทะเลสาบจุเซ็นจิของเราในวันนี้ก่อน เริ่มจากทางซ้ายของรูปคือเส้นทางเซ็นจุกะฮะมะ ที่เป็นเส้นทางเดิน hiking เลาะไปตามภูเขาขึ้นๆลงๆเป็นระยะทางไปกลับเกือบ 5 กิโลเมตร อาจจะใช้เวลานานหน่อย เลยต้องพยายามเดินให้เร็ว ไม่งั้นจะกลับมาเดินเล่นที่อีกเส้นทางนึงที่ไปชมวิวริมทะเลสาบที่บ้านพักตากอากาศท่านฑูตอิตาลีไม่ทันก่อนมืด หน้าหนาวนั้นฟ้ายิ่งมืดเร็วอยู่..

ทางเข้าของเส้นทางเดินเซ็นจุกะฮะมะ ซึ่งเป็นทางเดียวกันกับทางเข้าโรงแรมแห่งหนึ่ง

สภาพต้นไม้ก็ดูจะเลยจุดพีคของใบไม้แดงไปบ้างแล้ว แต่ความสวยงามของสีโทนส้มแดงก็ยังมีอยู่มากบ้างน้อยบ้าง

อย่างต้นนี้ยังส้มๆอยู่เลย

สีส้มสะท้อนกับแสงแดดดีจัง

เป็นรูปใบไม้แดงรูปแรกที่ได้ถ่ายในทริปนี้เลย!

เตรียมพร้อมที่จะลุยละ แต่ว่าต้องรอนิดนึงเพราะ..

เพราะว่าคุณแม่กับคุณน้ายังถ่ายรูปเล่นกันอยู่เลย 555+

ตรงโน้นก็มีใบไม้แดงอยู่เหมือนกัน ระหว่างทางเดินไปตรงทางเข้าเส้นทางเซ็นจุกะฮะมะ

เจอป้ายทางเข้าแล้ว เส้นทางเซ็นจุกะฮะมะที่ฝันว่าจะมาเดินสักครั้งให้ได้

ดูแผนที่กันสักหน่อย

นี่คือแผนที่รอบทะเลสาบจุเซ็นจิ มีเส้นทางเดินได้โดยรอบทะเลสาบเลยนะ แต่ถ้าจะเดินให้ครบรอบนี่คงต้องมาเช้ากลับค่ำเลยล่ะ

ทริปนี้เราเจาะจงเฉพาะเส้นทางเซ็นจุกะฮะมะนี้ก่อน ในความคิดคือต้องการที่จะเดินไปให้ถึงบริเวณที่มันเป็นหาดทรายริมทะเลสาบให้ได้เพราะวิวตรงนั้นสวยมากๆ ถ้าเดินไปถึงแล้วจะเดินต่อหรือเดินกลับไว้ดูเวลาแล้วว่ากันอีกที

เอาล่ะ Let's go!! ออกสตาร์ทเดินทางได้!

เส้นทางนั้นจะเป็นการเดินลัดเลาะไปตามสันเขา ต้นไม้ที่ขึ้นมันก็เอียงๆตามเขานั่นล่ะ ไม่ได้ตั้งกล้องถ่ายรูปเบี้ยวนะ..

เนินเขาริมทะเลสาบมีแสงแดดเล็ดลอดเข้ามา ถ่ายรูปได้สวยๆอยู่เป็นระยะเพราะแสดงแดดกับใบไม้แดงนั้นเป็นอะไรที่เข้ากันได้ดีมากจริงๆ

เริ่มเดินเข้ามาเฉียดกับทะเลสาบแล้ว ก็จะสามารถมองทะลุต้นไม้ไปเห็นทะเลสาบด้านล่างได้ด้วย

ใบไม้ส้มๆแดงๆตามทาง ยิ่งเดินยิ่งอิ่มใจ

ต้นที่ยังมีใบไม้สีแดงสดก็ยังมีหลงเหลืออยู่อีกเยอะตามทางที่เดินผ่าน

ยังมีเส้นทางเดินต่ออีกไกลให้ได้หยุดถ่ายรูปได้อีกมากมายเลย

ทางเดินก็มีทั้งชันและทางลาด มีสะพานไม้กั้นตรงที่อันตรายอยู่เป็นระยะๆ

วิวรอบๆตามเส้นทางเดิน กำลังจะถึงหลักกิโลเมตรแรกแล้ว

ตรงนี้เอาจริงๆก็สามารถเดินลงไปจนถึงริมทะเลสาบได้เลยนะ แต่ว่าค่อนข้างชันอยู่เหมือนกัน

ผ่านกิโลเมตรแรกแล้ว สู้กันต่อครับ!

เดินเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ

เส้นทางเริ่มชันจนต้องมีรั้วกั้นไปตลอดทาง

ถึงจุด 1.4 กิโลเมตร จะมีหมือนเป็นช่องลมที่เป็นจุดให้นั่งพักชมวิวได้อยู่ ให้คุณแม่คุณน้าได้พักและถ่ายรูปเล่นสักพักค่อยเดินต่อ

ระหว่างที่หยุดพักเดินก็ขอถ่ายทอดสดรายงานบรรยากาศการเดินชมธรรมชาติในเส้นทางเซ็นจุกะฮะมะซะหน่อย

ระหว่างนี้เราก็ยืนถ่ายรูปเล่นด้วยเช่นกัน นี่เป็นใบไม้แดงที่อยู่บนหัวตรงที่เรายืนอยู่

ส่วนคุณแม่เราก็กำลังสนุกกับการถ่ายรูปเช่นกัน เพลินเลย 555+

ระหว่างนั่งพักก็ได้พบเจอคนที่มาเดิน hiking ตามเส้นทางเซ็นจุกะฮะมะอยู่บ้างประปราย คนญี่ปุ่นก็ชอบเดินป่าเดินเขากันอยู่เหมือนกันนะ

เอาล่ะ พร้อมไปต่อกันแล้ว ยังต้องเดินอีกกว่า 2 กิโลเมตรนะ!

มีจุดชมวิวอยู่อีกเรื่อยๆเป็นระยะๆ อาจจะเพราะทางช่วงนี้เดินวกขึ้นเขาไปค่อนข้างสูง ก็เลยได้เห็นวิวงามๆแบบนี้

ยิ่งเข้ามาลึกยิ่งเจอใบไม้แดงสวยๆเพียบ ดีใจที่แสงแดดมันเป็นใจ

มาถึงตรงนี้เป็นสะพานทางเดินขึ้นมาแล้วมีแอเรียให้ยืนถ่ายรูปได้

ตรงนี้ลมเย็นสบายดีมากๆเลย ถือว่าเป็นการหยุดพักเดินเพื่อถ่ายรูปไปพลางๆ

เอื้อมแขนให้สุดๆกันไปเลย อยากได้รูปมุมสูงซะหน่อย

รมรื่นเย็นสบายและมีความสุข

จากตรงนี้นั้นก็เหลืออีกไม่กี่ร้อยเมตรแล้ว เราก็จะเดินถึงบริเวณที่เป็นเหมือนชายหาดของทะเลสาบที่เป็นมุมถ่ายรูปไฮไลท์จุดนึงของทะเลสาบจุเซ็นจิแห่งนี้

มารีบเดินต่อไปให้ถึงจุดหมายกันดีกว่า จะมามัวโอ้เอ้ถ่ายรูปข้างทางเรื่อยๆแบบนี้ไม่ได้นะ!

และเราก็เดินมาเจอทางลาดปูกระดานไม้ลงไปยังริมทะเลสาบแล้ว ใกล้ถึงสถานที่ในฝันแล้วนะ!

และแล้วเราก็มาถึงจนได้! จุดชมวิวไฮไลท์สำคัญของการมาเที่ยวนิกโก้ของเรา

landmark ที่ควรค่าแก่การมาเยือน ริมทะเลสาบจุเซ็นจิในเส้นทางเดินเซ็นจุกะฮะมะ น้ำใสและเย็นชื่นใจมากๆเลย

มุมยอดนิยมของที่ริมหาดตรงนี้ ใบไม้แดงสีสวยสดกับทะเลสาบและภูเขาโดยรอบ

จะสังเกตได้ว่าใบไม้ร่วงโรยและปลิวลงน้ำมาก็เยอะแล้ว โชคดีจริงๆที่มาดูทันภาพที่ยังสวยงามอยู่แบบนี้

ได้มาเยือนจริงๆแล้วนะ ถือเป็นหนึ่งใน archievement ของชีวิตการท่องเที่ยวญี่ปุ่นของเราเลยล่ะ

ที่สำคัญคราวนี้ก็ได้พาคุณแม่มาเที่ยวด้วยกัน คุณแม่เป็นคนที่ชอบเที่ยวธรรมชาติมากๆ ฟินกันไป 555+

ทะเลสาบจุเซ็นจินี้เป็นทะเลสาบที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลที่สุดในญี่ปุ่น (1,269 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) และมีความลึกเป็นอันดับ 7 ในญี่ปุ่นด้วย

มาถึงสถานที่ในฝันทั้งที ยังไงก็ขอถ่ายคลิปเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ของชีวิตหน่อยละกันเนอะ

จริงจังขนาดแบกขาตั้งกล้องลุยป่าลุยเขามาเพื่อเก็บภาพสวยๆที่นี่เลยนะ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วจริงๆ

การตามล่าหาความฝันหรือสถานที่ในฝันมันคุ้มค่าที่จะลองพยายามดูจริงๆนะ!

ถ่ายรูปเล่นและยืนพักชมความสวยงามของวิวริมหาดกันอยู่พักใหญ่ๆเลย ก่อนที่จะเริ่มเดินกลับทางเดิม เราใช้เวลาเดินมาถึงนี่ประมาณเกือบๆชั่วโมงครึ่งได้ กว่าจะถ่ายรูปกันเสร็จก็กินเวลาไปอีกพอควร สรุปคือตัดสินใจเดินกลับทางเก่าแล้วไปรอรถบัสกับไปลงที่ป้าย Chuzenji-onsen ดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวเราจะอดไปเดินถ่ายรูปที่บ้านพักท่านฑูตอิตาลีเอาเพราะมืดซะก่อน

ใบไม้ที่ร่วงโรยอยู่ตามพื้นดิน กรอบไปหมดแล้ว..

เดินกลับในเส้นทางเดิมเหมือนตอนที่เดินเข้ามา

ระหว่างเดินทางกลับก็ยังคงเก็บตกถ่ายรูปเล่นเป็นระยะๆ

ร่วงลงไปนี่น่าจะเจ็บหนักอยู่เหมือนกันนะ ความสูงขนาดนี้..

เราใช้เวลาเดินกลับประมาณ 40 นาทีก็กลับออกมาถึงป้ายหน้าทางเข้าเส้นทางเซ็นจุกะฮะมะ

ออกจากทางเข้าวกขึ้นถนนใหญ่ย้อนกลับมาเพียงนิดเดียว จะมีป้ายรถบัสป้าย Ryuzu no Taki อยู่ เรามาถึงก่อนเวลารถมาประมาณ 5 นาทีได้ ซึ่งก็ทันรอบรถบัสเส้นทาง 2A ที่จะมาถึงป้าย Ryuzu no Taki เวลา 15.25 น. แบบเฉียดฉิว!

มายืนต่อคิวขึ้นรถบัสอยู่ตรงป้ายรถ มีคนประมาณ 4-5 คนยืนอยู่ก่อนเราแล้ว พอเรามายืนต่อคิวปุ๊บ รถบัสก็มาถึงทันที

ใช้เวลานั่งรถบัส 20 นาทีก็ถึงป้าย Chuzenji-onsen ที่เราจะต้องลงรถแล้ว

ต่อไปเส้นทางที่จะเดินคือทางขวาล่ะ เป็นเส้นทางเดินไปยังบ้านพักตากอากาศของท่านฑูตอิตาลี ระยะทางประมาณ 1.5 กม. แต่ต้องแข่งกับเวลาหน่อย เพราะท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ขณะเริ่มเดินนี่ก็ 16.20 น. แล้ว มืดลงเรื่อยๆ

หลังจากลงรถบัสซึ่งป้ายรถจะอยู่ตรงลานจอดรถใกล้ๆกับทางเข้าไปชมน้ำตกเคงอนที่เป็นน้ำตกชื่อดังเป็นสัญลักษณ์ของนิกโก้ ซึ่งตอนที่เรามาถึงน้ำตกโดนหมอกหนาบังซะเกือบมิดเลย..

แวะเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย เตรียมพร้อมที่จะเดินต่อไปยังบ้านพักท่านฑูตอิตาลี

เดินตามแผนที่มาตามถนนใหญ่เรื่อยๆ ลัดเลาะริมทะเลสาบไปอีกเส้นทางหนึ่ง

หมอกลงหนาจริงจัง เห็นภูเขานันตัยแบบจางๆ

ตามเส้นทางที่เดินก็เจอใบไม้แดงๆส้มๆเป็นระยะเฉกเช่นเดียวกัน

เดินผ่านวัดจุเซ็นจิด้วย แต่ไม่ได้เข้าไปชมเจ้าแม่กวนอิมข้างในหรอก เพราะเวลาไม่พอจริงๆ แถมถึงเวลาปิดทำการแล้วด้วย

เดินไปตามทางเรื่อยๆ เหมือนจะใกล้แต่พอมาเดินเข้าจริงๆกลับรู้สึกไกลจังแฮะ..

ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาทีก็มาถึงบ้านพักตากอากาศของท่านฑูตอิตาลีในสมัยก่อน หรือ Italy Embassy House จนได้ และพวกเราก็เป็นนักท่องเที่ยวชุดสุดท้ายที่เดินทางเข้ามาเยือนบ้านพักนี้ เพราะคนอื่นๆเดินสวนทางกลับไปกันหมดเลย ตอนเราเดินเข้ามา สองคนสุดท้ายชาวญี่ปุ่นเพิ่งเดินสวนออกไปเองล่ะ

มาถึงตอน 16.45 น. มันมืดลงแล้วจริงๆ มืดเร็วมากด้วย แสงแดดไม่มีแล้วก็จะถ่ายรูปยากหน่อย..

มืดขนาดนี้แล้วคงไม่สามารถเดินไปถึงจุดชมวิวที่จะถ่ายรูปแหลมฮัจโจเดจิมะข้างหน้านั่นได้ทันแล้ว ก็เลยยืนปักหลักถ่ายรูปจากริมระเบียงบ้านพักท่านฑูตก็แล้วกันนะ

พยายามปรับกล้องแล้วถ่ายให้ได้เยอะที่สุด บรรยากาศยามเย็นก็จะหนาวหน่อยๆ อากาศบริสุทธิ์มากเลยที่นี่

ดีใจที่ตัดสินใจวางแพลนเดินมาชมที่นี่ ไม่งั้นคงเสียดายแย่เลย

ท้องฟ้ามืดเร็วมากจนน่ากลัว เลยคิดว่ารีบเดินกลับจะดีกว่า พวกเราเดินกลับออกจากบ้านท่านฑูตเวลา 17.15 น. ดูสิว่ามืดขนาดไหน อันนี้ถ่ายแบบที่เห็นจริงๆเลยล่ะ คือเดินกลับมันไม่มีแสงไฟเลยจนกว่าจะเดินถึงถนนใหญ่ก็ไฟสลัวอีก ต้องใช้มือถือส่องเป็นไฟฉายไปตลอดทาง

ขากลับก็ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาทีเท่ากัน ระหว่างทางช่วงใกล้ๆจะถึงป้ายรถบัสมีร้านขายของฝากและของที่ระลึกอยู่นิดหน่อยที่ยังเปิดอยู่ ก็เลยรีบดิ่งไปยังร้านขายของฝากก่อนแล้วหาอะไรกินประทังชีวิตแก้หิวไปก่อน จากนั้นก็เดินกลับไปรอรถบัสเส้นทาง 2A หรือ 2B ก็ได้ที่ป้าย Chuzenji-onsen ดูตารางเวลาแล้ว รถบัสจะมาเวลา 18.15 น.

ระหว่างรอรถบัสมารับอยู่ที่ Bus Terminal ก็ยืนอ่านป้ายไปเรื่อยเปื่อย ดูแผนที่รถบัสเที่ยวในนิกโก้ เรามาเที่ยวถึงแค่เบอร์ 35 คือน้ำตกริวสุเท่านั้นเอง จริงๆรถบัสยังไปได้ถึงยุโมโตะอนเซ็นด้วย ถ้ามีโอกาสจะไปในคราวหน้าที่มาเที่ยวที่นิกโก้อีกครั้งเนอะ

ขึ้นรถบัสที่มาตรงเวลา กลับมาถึงสถานีนิกโก้เวลา 18.55 น. สบายๆ เช็คเวลากับที่พักแล้วก็เห็นว่าเวลาเช็คอินที่พักนั้นได้ถึง 3 ทุ่ม ก็เลยมีเวลาหาข้าวเย็นทันอยู่

แต่ว่าร้านอาหารที่ยังเปิดอยู่ในระแวกใกล้ๆับสถานีรถไฟนั้นหาค่อนข้างยากเหลือเกิน หลัง 6 โมงเย็นนี่ปิดร้านกันแทบจะเกลี้ยงละ.. ตัวเลือกมีไม่มากเท่าไหร่ ที่สำคัญต้องแย่งกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่มาค้างคืนที่นิกโก้นี้ด้วย

เจอร้านคนแขกอยู่ 2-3 ร้านแถวหน้าสถานีที่ขายพวกข้าวสเต๊ก คนอื่นๆโอเคเราก็โอเค สั่งสเต๊กเนื้อแบบด้งมากิน

อิ่มแล้วก็ได้เวลาไปที่พักกันละ ไปเอากระเป๋าสัมภาระที่ตู้ล๊อคเกอร์ จากนั้นก็นั่งแท็กซี่ไปยังที่พักชื่อว่า Narusawa Lodge (鳴沢ロッヂ) ตอนแรกกะจะเดินนะเพราะเห็นมันแค่กิโลเมตรเดียวเอง แต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่า นั่งแท็กซี่โลด 730 เยน นั่งกันไป 4 คนคุ้มแล้ว

มาถึงที่พักราวๆ 2 ทุ่ม คุณยูจิเจ้าของที่พักออกมาต้อนรับเลย อัธยาศัยของคุณยูจิดีมากๆ พูดอังกฤษคล่องแคล่ว เอาใจใส่ดีมาก ติดขัดอะไรแก้ให้ทุกสิ่งอัน เป็นคนที่ไนซ์มากๆ ขอชื่นชม ประทับใจสุดๆ

ที่พักก็ดูอบอุ่น เป็นสไตล์ที่พักแบบบ้านของคนญี่ปุ่นคล้ายๆพวก AirBnB

มุม memory point ที่หลายๆคนเอาความประทับใจมาเขียนทิ้งไว้ให้คุณยูจิ แน่นอนว่าเราก็จะเขียนเช่นกัน ถ้าใครไปพักที่นี่ก็คงเจอเมสเสจที่เราเขียนให้กับคุณยูจิล่ะ

ห้องของเราเป็นห้องใหญ่สุดอยู่ชั้นล่างใกล้กับห้องคุณยูจิ มีห้องอาบน้ำอยู่ฝั่งตรงข้ามทางเดิน ภายในห้องมีเตียงเดี่ยว 2 เตียงและเตียงสองชั้น 1 เตียง กับบริเวณอันกว้างขวางมีโต๊ะแบบโต๊ะทานข้าวตั้งกลางหน้าทีวี โอ้ย! จะดีไปไหน รู้สึกเหมือนอยู่บ้านจริงๆ เดินออกจากห้องก็เข้าห้องน้ำอาบน้ำสบายๆ มีความสุขกับคืนนี้มาก คุ้มค่ากับค่าที่พักคืนละ 4,200 เยนจริงๆ แถมคุณยูจิเสนอตัวขับรถไปส่งที่หน้าสถานี Tobu-Nikko ให้ด้วยล่ะ ประทับใจมากๆเลย มี 10 ก็ให้ 10 คะแนนเต็มอ่ะ!

พรุ่งนี้เรามีแพลนเที่ยวในโซน World Heritage Area ต่อ คงใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ คืนนี้ขอพักให้หายเหนื่อยหน่อยเถอะ ฝันดีครับทุกคน แล้วเจอกันพรุ่งนี้จ้า

About Puttiano Rossi

"เป้าหมายของเราคือการไปเยี่ยมเยือนให้ครบทั้ง 47 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีก็จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้"

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon
  • Black Twitter Icon
Never Miss a Post!
bottom of page