top of page

2014.10.25 Japan Trip #7 Day3 - Nikko (World Heritage Area)

สำหรับวันนี้ที่เป็นวันที่ 3 ของทริป เรายังคงอยู่ที่นิกโก้อีก 1 วัน แพลนวันนี้จะไปเที่ยววัดและศาลเจ้าในโซน World Heritage Area ประกอบด้วยวัดรินโนจิ,วัดไทยูอิน,ศาลเจ้าฟุตาระซัง,ศาลเจ้าโทโชกุ และปิดท้ายที่สะพานชินเคียว ตามรูปการณ์แล้วคงใช้เวลาเที่ยวไม่นานมาก ก่อนจะเดินทางกลับโตเกียวในตอนเย็น

ตื่นเช้ามาพร้อมกับอากาศที่แจ่มใส เตรียมตัวให้พร้อมก่อนถึงเวลานัดหมายกับยูจิซังเจ้าของที่พักที่จะขับรถพาพวกเราไปส่งที่หน้าสถานี Tobu-nikko ในเวลา 8.30 น.

จริงๆแล้วถ้าจะทานอาหารเช้านั้นต้องแจ้งยูจิซังล่วงหน้าก่อนมาพัก 1 วัน ทีนี้เราไม่คิดว่าจะได้มีเวลากินไง ก็เลยไม่ได้ require ไป เสียดายนิดๆ แต่ไม่เป็นไร ไปหากินเอาดาบน้ำแถวๆสถานีรถไฟก็ได้

เช็คเอ๊าท์แล้ว เป็นที่พักที่ดีมาก! Great Place in Nikko เลยล่ะ!

ออกมารอยูจิซังที่หน้าที่พัก แสงแดดจัดจ้ายไปสักหน่อย แต่อากาศไม่ได้ร้อนแบบที่เมืองไทยนะ เหมือนอยู่ในห้องแอร์ท่ามกลางแสงแดด

ยูจิซังพร้อมแล้ว พวกเราก็พร้อมขึ้นรถจ้า ระหว่างทางก็ชวนยูจิซังคุยไปพลางๆให้พอออกรส สนุกดีนะ เราเป็นคนชอบชวนคนอื่นคุยอยู่แล้ว ไม่ค่อยชอบบรรยากาศเงียบๆเท่าไหร่ มันน่าอึดอัดกว่าการพูดคุยกันเยอะเลย

มาถึงหน้าสถานี Tobu-nikko แล้ว ขอบคุณยูจิซังแล้วก็ลงจากรถ ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีกนะครับยูจิซัง!

มาถึงสถานีก็เอากระเป๋าสัมภาระไปฝากที่ตู้ล๊อคเกอร์เช่นเคย จะได้เดินตัวปลิวไปเที่ยวกัน

มีเวลาเยอะ ก็เลยลองเดินไปดูสถานี JR Nikko ดู

ช่วงที่ไม่มีรอบรถมานี่ ร้างแบบไม่มีคนเลยให้ตายสิ ไว้คราวหน้าอยากลองเดินทางมานิกโก้ด้วยรถไฟ JR บ้างจัง

ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ JR มีร้านเบเกอรี่อยู่ ชื่อร้านว่า Monte Bakery & Cafe' ก็เลยว่าจะซื้อขนมปังกินเป็นมื้อเช้า ปรากฏว่าเดินเข้าร้านไปเจอกับยูจิซังอีกครั้ง แกมาดื่มกาแฟยามเช้าที่นี่พอดี 555+

หลังจากเดินไปหาอะไรกินเป็นมื้อเช้าและนั่งกินเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับมารอขึ้นรถบัสเพื่อไปเที่ยวโซน World Heritage Area ที่ป้ายรถบัสหน้าสถานี Tobu-nikko

เส้นทางเดินรถที่ไป World Heritage Area นั้นไม่ไกล นั่งรถบัสไปก็ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้นเอง อยู่ในข่ายที่สามารถเดินไปได้ล่ะ

ตารางเดินรถบัสที่ไป World Heritage Area ก็เป็นดังนี้ จริงๆคือไม่ว่ารถบัส 2A,2B,2C ก็ผ่าน World Heritage Area ทั้งหมดเลยเนื่องจากทุกคันจะผ่านป้าย Nishisando ซึ่งอยู่ใกล้กับทางเดินไปยังศาลเจ้าและวัดต่างๆระแวกนั้น คือไม่จำเป็นต้องไปลงถึงใกล้ๆวัดใกล้ๆศาลเจ้าก็ได้ ไม่งั้นอาจต้องรอรถและคนก็อาจจะขึ้นเยอะ ที่สำคัญมีรถบัสเสริมไปลงสุดสายที่ป้าย Nishisando อีกเพียบเลยนอกตาราง

ใช้เวลา 10 นาทีก็มาถึงป้าย Nishisando ลงรถบัสแล้วก็เดินตามผู้คนข้างหน้าไปตามทางนี้

จากป้าย Nishisando (จุดที่เป็นดาวแดงในรูป) เราเดินไปทางวัดรินโนจิซึ่งปักหมุดไว้ว่าจะเป็นสถานที่แรกที่แวะในวันนี้ จริงๆสามารถเลือกได้ว่าจะเดินมาทางโอโมเตะซังโดหรือนิชิซังโดก่อนดี ซึ่งเราเลือกไปทางโอโมเตะซังโดก่อนคือเริ่มต้นที่วัดรินโนจิ วนไปตามเส้นทางลูกศรสีฟ้าในรูป แล้วเดินออกมาทางนิชิซังโดในตอนจบ

เดินเพียง 15 นาทีก็มาถึงหน้าวัดรินโนจิแล้ว ซึ่งวัดรินโนจินี้ภายนอกได้ปิดปรับปรุงมาตั้งแต่ 1-2 ปีก่อน เค้าเลยทำกำแพงเป็นอาคารครอบเอาไว้เป็นรูปวัดแทน เก๋ๆไปอีกแบบนะ

วัดรินโนจินั้นเป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 766 นั่นก็คือมีอายุเป็นพันปีมาแล้ว พระพุทธรูปข้างในอาคารหรือกระทั่งสวนสไตล์ญี่ปุ่นก็เป็นแบบโบราณ

ข้างหน้าจะมีที่ขายบัตรค่าเข้าชมวัดรินโนจิ ใครสนใจก็จ่ายค่าตั๋ว 400 เยนได้เลย

ตรงข้ามกับวัดรินโนจิมีสวนญี่ปุ่นชื่อว่า "สวนโชโยเอ็ง" ตามที่อ่านเห็นว่าใช้ตั๋วเข้าชมวัดรินโนจิหรือศาลเจ้าโทโชกุมายื่นก็เข้าชมได้เลยล่ะ อันนี้ไม่ชัวร์ว่าใช้ได้จริงมั้ยตามที่หาข้อมูลมาเพราะแต่ก่อนมันแยกจ่ายต่างหากคือต้องเสียค่าเข้า 300 เยน พอได้เที่ยวมาจริงแล้วมันเปลี่ยนไปเยอะเลย อย่างตั๋วเข้าชมศาลเจ้าโทโชกุก็สามารถเข้าได้ทุกพื้นที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่มแยกต่างหากเป็นโซนๆแล้ว อาจจะเพราะมีหลายส่วนที่ปรับปรุงล่ะมั้ง เค้าเลยคืนกำไรให้นักท่องเที่ยวเป็นการชั่วคราวเพื่อชดเชยในส่วนนี้

ออกจากวัดรินโนจิก็เดินไปตามถนนโอโมเตะซังโดที่ทอดยาวไปสู่หน้าศาลเจ้าโทโชกุซึ่งเป็นศาลเจ้าที่กินบริเวณกว้างที่สุดในบรรดาสถานที่สำคัญของ World Heritage Area แห่งนี้

ผ่านอาคารหลังหนึ่ง เห็นเค้าประกาศปาวๆว่ามีไดเมียวอะไรสักอย่างกำลังประทับทรงอยู่

มาถึงหน้าทางเข้าศาลเจ้าโทโชกุแล้ว

เจดีย์ห้าฉัตร ที่เค้าว่าถ้ามองไปจากยอดจะสูงระดับเดียวกับสกายทรีที่โตเกียวเลยนะ

ไม่รู้ว่าความสำคัญมันมีเยอะมั้ย แต่เราก็จะถ่ายรูปคู่ด้วย

ด้านตรงข้ามของเจดีย์นั้นมีซุ้มให้เช่าเครื่องรางอยู่

ประตูทางเข้า ความสำคัญของมันคือเป็นประตูที่คุณเจ้าหน้าที่ยืนเก็บบัตรเข้าชม 555+

พอเดินพ้นเข้ามาปุ๊บ ก็จะเจอกับศาลาไม้เก่าๆหลังนี้ที่มีรูปแกะสลักคณะลิงฝูงหนึ่ง

ตัวหลักๆที่เราได้ยินชื่อเสียงมานานก็คือ ลิงสามตัวปิดตาปิดหูปิดปาก " see no evil, hear no evil, talk no evil" จริงๆแล้วลิงในอิริยาบทอื่นๆก็มีนะ อย่างเช่นลิงมองการณ์ไกล,ลิงรักคุด,ลิงปวดกบาลและอีกมากมายด้วย

เดินผ่านศาลาไม้นั้นมาก็จะเจอทางขึ้นไปยังอาคารหลักข้างบน

เดินขึ้นบันไดมาแล้วๆ

ขึ้นมาถึงข้างบนจะพบกับประตูโยเมมง ซึ่งเป็นประตูหลักทางเข้าศาลเจ้าเลย แต่ตอนนี้มันอยู่ในระหว่างการปรับปรุงอยู่ ก็เลยเดินมาถ่ายรูปกำแพงประตูแทน กำแพงนี้สลักเป็นรูปสัตว์มากมายทั้งนกกระเรียน,ไก่,เป็ดน้ำ,มังกร,เสือ ฯลฯ คือเห็นแล้วอยากจะชมประตูที่กำลังปรับปรุงจริงๆว่ามันจะสวยแค่ไหน

ผ่านประตูแรกมาก็มาเจอประตูที่สองคือประตูคะระมง ซึ่งข้างในหลังผ่านประตูนี้คือตัวอาคารหลักของศาลเจ้าโทโชกุ ประตูนี้ใช้ศิลปะแบบจีนคือมีทั้งมังกร,ดอกโบตั๋น,ดอกบ๊วย,ต้นไผ่อะไรแบบนี้เป็นต้น แต่ประตูนี้ไม่ได้เปิดให้คนเดินผ่านเข้าอาคารนะ ต้องไปเข้าประตูด้านขวาแทน

กำแพงของประตูคะระมงทอดยาวไปดูสวยงาม

พกเลนส์ 70-200 ไปด้วย เลยหยิบออกมาซูมถ่ายศิลปะสถาปัตยกรรมบนซุ้มประตูซะหน่อย

มังกรตัวนี้ก็ดูสวยจริงดีจัง

เดินมาทางขวามือจะมีซุ้มทางเดินเพื่อเข้าสู่สุสานของท่านโชกุนโทคุกะวะ อิเอยะสุ ซุ้มประตูนี้จะมีรูปแกะสลักที่มีชื่อเสียงก็คือแมวนอนหลับนั่นเอง

และนี่ก็คือไม้แกะสลักรูปแมวนอนหลับอันมีชื่อเสียง

หลังจากนั้นก็ต่อคิวกันเดินขึ้นบันไดเกือบๆ 200 ขั้น ก่อนจะมาถึงบริเวณศาลเจ้าด้านบน

เดินอ้อมไปทางด้านขวามือของศาลเจ้าเรื่อยๆตามทางก็จะเจอสุสานของท่านโชกุนโทคุกะวะ

ทางเดินเค้าจะให้วนขวาไปซ้ายก่อนออกมาก็จะเดินผ่านเทพต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เห็นแล้วนึกถึงอนิเมะเรื่อง Kannagi เลย

เดินลงมาจากสุสานและออกจากศาลเจ้าโทโชกุ เลี้ยวขวาไปจะมีทางเดินทอดยาวสู่ศาลเจ้าเล็กๆที่ชื่อว่าศาลเจ้าฟุตะระซัง

เดินตามเรามากันได้เลย เดี๋ยวจะเป็นไกด์ให้นะครับ 555+

เดินมาถึงทางเข้าแล้ว ไม่ไกลกันมากเท่าไหร่

อาคารของศาลเจ้าฟุตะระซัง

ข้างหน้าศาลเจ้าจะมีถังไม้ที่เหมือนเป็นโคมกักปีศาจ ว่ากันว่ามันเอาไว้กักปีศาจไม่ให้ออกไปอาละวาด

จากศาลเจ้าฟุตะระซัง เดินตรงออกมาแล้วเลี้ยวขวานิดเดียวก็จะถึงหน้าวัดไทยูอิง วัดสุดท้ายที่เราจะมาเที่ยวในวันนี้ นี่คือซุ้มประตูนิโอมง

ข้างหน้าซุ้มประตูจะมียักษ์ตัวสีแดง 2 ตนยืนเฝ้าประตูอยู่ ซื้อบัตรเข้าชม 600 เยนแล้วเดินเข้าไปเลย

ผ่านประตูแรกมาจะเจอประตูที่ 2 ตรงบันไดทางขึ้นไปด้านบน ซุ้มประตูนี้ชื่อว่าคะมินะริมง เหมือนชื่อประตูที่วัดเซ็นโซจิที่อะสะคุสะเลย ประตูนี้จริงๆแล้วจะมีเทพเจ้าแห่งสายลมและสายฟ้าเฝ้าประตูอยู่ แต่ก็อย่างที่เห็น.. ช่วงที่เราไปเที่ยวคือกำลังปรับปรุงอยู่

เดินผ่านซุ้มประตูขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ ในใจก็เสียดายนิดๆ

มาถึงประตูที่ 3 กันแล้ว ชื่อว่า Yashamon ประตูนี้จะมียักษ์ 4 ตน 4 สีคือแดง,เขียว,น้ำเงินและขาวเฝ้าอยู่ ด้านหน้ามีสีแดงกับเขียว ด้านหลังมีน้ำเงินกับขาว แต่บางทีก็เรียกประตูดอกโบตั๋นเพราะมันมีลวดลายดอกโบตั๋น

และก็มาอีกประตูนึงชื่อว่า ประตูคะระมง ซึ่งมีชื่อเหมือนกับศาลเจ้าโทโชกุคือเป็นประตูก่อนเข้าตัวอาคารหลักที่เป็นที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์ของท่านอิเอมิทสึที่เป็นโชกุนรุ่นที่ 3 ลูกหลานของท่านโทคุกะวะ อิเอยะสุ สีของประตูดูดำทะมึนๆ

ตรงนี้เป็นตัวอาคารหลักที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์ของท่านอิเอมิทสึ เค้าไม่ให้ถ่ายรูปข้างในนะ

เดินวนออกไปตามทางด้านขวาก็เจอประตูสุดท้ายคือประตูโคคะมง ที่จะเป็นศิลปะแบบจีน(ราชวงศ์เหม็ง)

จากนั้นก็เดินกลับออกจากวัดไทยูอิง

เดินออกมาตามถนนนิชิซังโดเรื่อยๆ เวลาตอนนั้นก็บ่ายแล้ว เลยลองเดินหาร้านข้าวกินมื้อเที่ยงก่อน

เลือกสั่งเมนูง่ายๆอย่างคัทสึคะเร

ท้องอิ่มแล้วก็เดินเท้าต่อกันเลย ขี้เกียจรอรถบัสและ เดินเอาละกัน ไม่ไกลเท่าไหร่เลย

เดินเลาะไปตามถนนหลักที่เลียบแม่น้ำไดยะซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลมาจากทะเลสาบจุเซ็นจินั่นเอง

แม่น้ำไดยะนั้นไหลหลากมาเร็วแรง เสียงดังซู่ซ่าตลอดทางที่เดินมา

เกาะแก่งและชั้นหินในแม่น้ำนั้นสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ถ้าน้ำน้อยกว่านี้อาจจะลงไปเดินเล่นได้

เราใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาทีก็เดินมาถึงสะพานชินเคียวในที่สุด

เพราะว่าสะพานชินเคียวเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญของนิกโก้ ยังไงก็ต้องถ่ายรูปคู่ด้วย

เดินผ่านมาอีกฟากหนึ่งซึ่งอยู่ตรงหัวโค้งบริเวณสามแยกกันต่อ จริงๆแล้วสามารถจ่ายเงิน 300 เยนเพื่อเดินเข้าไปตรงสะพานชินเคียวนั้นได้ด้วยนะ

"สะพานชินเคียว" ประตูสู่นิกโก้

มุมการถ่ายรูปจากตรงนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด

ภารกิจของเราที่นิกโก้เสร็จสิ้นแล้ว ดีใจจริงๆที่ได้มาเที่ยวที่นี่

ถ่ายรูปสะพานชินเคียวกันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินข้ามถนนมารอรถบัสเพื่อเดินทางกลับไปยังสถานี Tobu-nikko

ยืนต่อแถวรอรถอยู่สักครู่รถบัสก็มาถึง

จากสะพานชินเคียว ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็กลับมาถึงสถานีแล้ว

ยังพอมีเวลาเดินดูของที่ระลึกสักแป๊บนึง 555+

สักพักก็เข้ามารอรถไฟที่ชานชาลา รถไฟขากลับโตเกียวจะออกเวลา 15.31 น. ก็เลยเข้ามารอตั้งแต่ 15.10 น. เลย กลัวไม่มีที่นั่ง

เป็นการใช้ตั๋ว All Nikko Pass ที่เราว่าคุ้มแล้วล่ะ ถึงจะใช้แค่ 2 วันทั้งที่มัน valid ตั้ง 4 วัน แต่เราเที่ยวสมบุกสมบันมากนะ เราเลยว่ามันคุ้มแล้ว

รถไฟออกจากสถานีตรงเวลามากๆ! จากนี้ก็ได้นั่งๆนอนไปยาวๆจนกว่าจะถึง Tokyo Skytree สถานที่ที่เราจะไปเที่ยวเป็นการเก็บตก

กลับมาถึงโตเกียว ลงรถไฟที่สถานี Tokyo Skytree เวลาทุ่มตรงเป๊ะเลย!

เดินออกจากสถานี เตรียมตัวไปเดินเล่นชอปปิ้งต่อในห้าง Solamachi

เดินผ่าน Rilakkuma store ก่อนเลย

น้องหมีริลัคกอดสกายทรีเอาไว้นี่น่าซื้อมากๆ

กุเดะทะมะเต็มทั้งแผงเลย

สินค้าฟุนัชชี่ก็มีมากมายไม่แพ้กัน

มันน่าอุ้มกลับบ้านเสียจริง!

จากนั้นก็ได้เวลามื้อเย็นละ ไปกินมื้อเย็นที่ร้านมูมินคาเฟ่ล่ะ

เราเคยกินข้าวที่มูมินคาเฟ่มาแล้วหนนึงตอนไปเที่ยวที่ Tokyo Dome City คราวนี้ก็เป็นครั้งที่ 2 แล้ว

เซ็ตอาหารเย็นที่มีให้เลือก 3 เซ็ตคือ A,B,C เราสั่งเซ็ต A มา เป็นข้าวฮายาชิไรซ์กับซุปฟักทองและสลัด

เดินเล่นชิวๆกันจนห้าง Solamachi ปิดเลย ก่อนจะกลับที่พักก็เดินออกไปถ่ายรูปกับ Tokyo Skytree ซะหน่อย เพราะว่าคุณน้ายังไม่เคยมา ก็เลยต้องพามาถ่ายรูปน่ะ

และเราก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปเช่นกัน ก่อนจะเดินกลับไปยังสถานีรถไฟ Toei เพื่อขึ้นรถไฟสาย Asakusa Line จากสถานี Oshiage กลับที่พักที่สถานี Asakusabashi ไปถึงก็เช็คอินแล้วเข้าไปเอากระเป๋าเดินทางที่ฝากไว้กลับขึ้นห้องพักได้เลย

พรุ่งนี้จะขึ้นเหนือไปตะลุยโทโฮคุแล้วนะ แต่ช่วงเช้าถึงบ่ายๆจะไปพิพิธภัณฑ์รถไฟที่จังหวัดไซตามะก่อนล่ะ การผจญภัยของแท้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!

About Puttiano Rossi

"เป้าหมายของเราคือการไปเยี่ยมเยือนให้ครบทั้ง 47 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีก็จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้"

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon
  • Black Twitter Icon
Never Miss a Post!
bottom of page