top of page

2014.10.26 Japan Trip #7 Day4 - Railway Museum

ก่อนจะจรลีขึ้นเหนือไปตะลุยชมใบไม้แดงที่โทโฮคุในตอนเย็น แพลนวันนี้เราขอแวะไปสวรรค์ของโอตะรถไฟอย่างเราก่อน นั่นก็คือ "พิพิธภัณฑ์รถไฟ" ที่จังหวัดไซตะมะนั่นเอง พิพิธภัณฑ์นี้เก็บรวมรถไฟเก่าๆของ JR โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ใช้ในภูมิภาคคันโตและโทโฮคุ เส้นทางตั้งแต่โทโฮคุลงมาถึงโทไคโดเชื่อมต่อกันเลย!

เช้าวันที่ 4 ของทริป checkout แล้วเอากระเป๋าฝากเอาไว้ที่ที่พักก่อน จะกลับมาเอาหลังจากไปเที่ยวเสร็จ ว่าแล้วก็เดินตัวปลิวไปขึ้นรถไฟ JR ที่สถานี Asakusabashi แต่ต้องจ่ายค่ารถเองก่อน เพราะยังไม่ได้เปิดใช้ JR Pass เดี๋ยวต้องไปเปิดใช้ที่สถานี Tokyo ที่ๆเราจะต้องไปขึ้นรถไฟชินคังเซ็นอยู่แล้ว

จากสถานี Asakusabashi ขึ้นรถไฟ JR สาย Chuo/Sobu Line Local มาลงที่สถานี Akihabara แล้วต่อรถสาย Keihin-Tohoku Line หรือ Yamanote Line ก็ได้มาลงที่สถานี Tokyo จากนั้นก็ต้องไปเปิดใช้ JR Pass และจองที่นั่งรถไฟชินคังเซ็นเพื่อเดินทางไปไซตะมะ สถานที่แลก JR Pass มีอยู่สองที่คือ Service Center ของ JR และ JR East ที่อยู่ภายในสถานี Tokyo นี้นั่นล่ะ เราคุ้นเคยกับ JR East มากกว่า (ตอนที่ลืมแท็บเล็ตเอาไว้บนชินคังเซ็นเมื่อปีก่อนก็มาสอบถามที่นี่น่ะ) ก็เลยจำทางได้และก็จะเดินไปแลกที่นั่น

ถึงแล้ว! JR East Travel Service Center อยู่ใกล้ๆกับเกททางเข้ารถไฟชินคังเซ็นสาย Tohoku Shinkansen (สีเขียว) และ Lost & Found Center เลย สำหรับการดำเนินการนั้น เค้าน์เตอร์ช่องที่ 6 ของที่นี่จะอำนวยความสะดวกในการแลก JR Pass โดยเฉพาะ เพียงกรอกฟอร์มและยื่นพร้อมพาสปอร์ตง่ายๆแค่นี้เอง หลังจากนั้นก็เข้าช่องอื่นไปเพื่อจองที่นั่งรถไฟได้เลย

จะบอกว่าเพราะออกจากที่พักสาย ทำให้อะไรๆก็รวนเรไปหมด ตั้งแต่การจองที่นั่งรถไฟชินคังเซ็นเลย คือตอนแรกก็กะว่าจะจองที่นั่งรถไฟชินคังเซ็นรุ่น E4 หรือ Super Max ซึ่งสายที่ใช้รุ่นนี้คือ Joetsu Shinkansen ขบวน Max Toki และ Max Tanigawa ที่เป็นรถไฟชินคังเซ็นแบบสองชั้น และขากลับก็อยากจะได้นั่งรถไฟชินคังเซ็นรุ่น E3 หรือ Komachi ที่ใช้ในสาย Yamagata Shinkansen ขบวน Tsubasa สักหน่อย แต่พอไทม์มิ่งมันรวนๆไปแล้ว ก็เลยแบบรอบไหนมาก่อนก็จองขบวนนั้นละกัน สิ่งที่ได้นั่งคือรุ่น E5 สีเขียวมิคุขบวนนี้ในขาไป และรุ่น E2 สีขาวน้ำเงินรุ่นเก่าในขากลับ

ขบวนไหนก็ไปถึงสถานี Omiya ได้เร็วพอๆกัน เพราะงั้นก็ขึ้นๆไปเถอะ!

เราเปิดใช้ JR Pass วันแรกของทริปนี้ จองที่นั่งรถไฟชินคังเซ็น Yamabiko 45 ออกจากสถานี Tokyo เวลา 9.45 น. ไปถึงสถานี Omiya เวลา 10.05 น.

ใช้เวลาเพียง 20 นาทีก็มาถึงสถานี Omiya แล้ว

สถานี Omiya ในจังหวัดไซตะมะนั้นเป็นจุดต่อรถไฟที่สำคัญของไซตะมะเลย เดินออกมาจากเกทแล้วมองหาป้ายทางไปสู่รถไฟเอกชน New Shuttle

เดินตรงไปตามทางที่ป้ายบอก รอบข้างทางเป็นห้างในสถานี มีสินค้าแบรนด์ดังๆเยอะแยะมากมายเลยล่ะ

เดินประมาณ 500 เมตรก็มาถึงสถานีรถไฟ New Shuttle ซึ่งเป็นรถไฟเอกชนในจังหวัดไซตะมะแล้ว

ต้องซื้อตั๋วรถไฟซะก่อน

จากสถานี Omiya ไปลงที่สถานี Tetsudo-Hakubutsukan ระยะทางแค่สถานีเดียว แต่ราคาค่าโดยสารโขกไป 190 เยน แทบช็อกอ่ะ 555+

เสียบบัตรผ่านประตูเกทรถไฟเข้ามารอรถไฟที่ชานชาลา เท่าที่เห็นก็มีผู้โดยสารใช้บริการกันมากพอควรเลย

จากสถานี Omiya นั่งไปสถานีเดียวและลงที่สถานี Tetsudo-Hakubutsukan หรือที่แปลว่าพิพิธภัณฑ์รถไฟนั่นเอง

เดินลงมาจากชานชาลาก็เจอรูปรถไฟชินคังเซ็น E5 กับ E6 จูบกันอยู่เลย เป็นการต่อพ่วงรถไฟแล่นไปพร้อมกัน

เดินออกจากสถานีรถไฟกันเลย

เดินมุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์รถไฟซึ่งอยู่สุดเส้นทางเบื้องหน้า เริ่มมีอะไรที่มาเร้าบรรยากาศตามสองฝั่งข้างทาง

เริ่มต้นจากที่บนพื้นทางเดินก่อนเลย ลองมองดูที่พื้นทางเดินนั่นสิ!

ใช่แล้ว! มันคือตารางเดินรถไฟชินคังเซ็นที่บอกชื่อสายรถไฟและเวลาจอดเทียบชานชาลานั่นเอง

เป็นอะไรที่ติ่งรถไฟญี่ปุ่นอย่างเราประทับใจมากๆ!

เดินดูพื้นไปตลอดทางเลย ไม่ได้เงยหน้ามองรอบข้างเลยเรา 555+

มาเดินเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ไปพร้อมๆกันเลย

นี่คือโบกี้รถไฟในรุ่นต่างๆ แม้ว่าขนาดจะต่างกันแต่วิ่งบนรางขนาดความกว้างเท่ากัน

ตรงใกล้ๆกับทางเข้าพิพิธภัณฑ์นั้นจะมีจุดให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับรถไฟ SL หรือรถไฟหัวรถจักรไอน้ำ ลงวันที่มาเที่ยวไว้ด้วย

เดินถัดมาอีกนิดก็ถึงจุดซื้อบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์

วิธีซื้อไม่ยาก.. กดคล้ายๆซื้อตั๋วรถไฟเลย แต่ว่าซื้อได้แค่ครั้งละ 2 ใบเท่านั้นนะ โดยช่องทางขวาคือบัตรที่จะออกมา สองช่องบนนี่บุคคลธรรมดา ข้างล่างคือเด็กและผู้สูงอายุ ช่องใส่เงินช่องทอนเงินอยู่ข้างล่าง

บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์รถไฟมันก็ต้องมีหน้าตาคล้ายกับบัตร IC Card ที่ใช้ขึ้นรถไฟอยู่ประจำในทุกวันแบบนี้นะล่ะเนอะ!

ซื้อบัตรเข้าชมเรียบร้อยแล้ว ก็เดินเข้าสู่พิพิธภัณฑ์กันได้เลย

เดินเข้ามาถึงข้างใน ลองอ่านแผงผังของพิพิธภัณฑ์เสียก่อนเลย บริเวณชั้นล่างคือชั้น 1 นี้ ส่วนทางขวามือจะมีขบวนรถไฟเก่าๆตั้งโชว์ในลานกว้าง ชั้นที่ 2 ของลานนั้นจะเป็นที่วางโชว์โมเดลและประวัติต่างๆของการรถไฟตั้งแต่เปลี่ยนจาก JNR มาเป็น JR เลย ส่วนทางซ้ายมือของชั้นที่ 1 นั้นจะเป็นโซนของที่ระลึกและร้านอาหาร ชั้นที่ 2 ทางซ้ายมือจะเป็นห้องเก็บวัตถุเก่าๆของรถไฟ รวมทั้งมีมุมเพื่อการศึกษาของเยาวชนที่เป็น simulation ด้วย และชั้นที่ 3 ก็จะเป็น food court

ไม่เป็นการเสียเวลา เริ่มตะลุยกันเล้ย! เลาะจากซ้ายสุดก่อนเลย จำลองชานชาลาสถานี Tokyo สมัยก่อน

รถไฟขบวนนี้เป็นรุ่น MaITe-39 เป็นรถไฟ Limited Express ที่ให้บริการในชื่อ Fuji ให้บริการครั้งแรกเมื่อประมาณปีค.ศ.1930 ในเส้นทางสาย Tokaido-Sanyo Line จากสถานี Tokyo ไปยังสถานี Shimonosaki ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใต้สุดของเกาะฮอนชูโน่นเลย! วิ่งไกลๆนั่งนานๆแบบนี้คงต้องมีที่นั่งที่สบายๆหน่อย ที่นั่งเค้าแบ่งออกเป็น 2 class ในทีแรกที่ทำเป็นรถนอน ก่อนจะมีการเพิ่มส่วนชั้น 3 หวานเย็นในปีค.ศ.1934 เรทราคาค่าโดยสารก็จะแตกต่างกันตามความหรูหรา โดยรถไฟขบวน Fuji นี้จะออกจากสถานี Tokyo เวลา 13.00 น. ไปถึงสถานี Shimonosaki เวลา 10.30 น. ของวันรุ่งขึ้น วิ่งผ่านเมืองใหญ่ทั้งนาโกย่า,โอซาก้า,ฮิโรชิม่าเลย และรถไฟขบวนนี้ยังได้ชื่อว่าเป็น Observation Train ด้วย ในฐานะที่เป็นตัว connect กับเรือเฟอร์รี่ในการเดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้ด้วย เป็นเวลากว่า 30 ปีที่รถไฟนอนขบวนนี้ได้โลดแล่นรับใช้พี่น้องชาวญี่ปุ่นมา จนกระทั่งปีค.ศ.1960 ก็ได้ถูกแทนที่โดยรถไฟพลังงานไฟฟ้าแทน

มีป้ายเก๋ๆเป็นรูปฟูจิซังด้วยนะ

ที่นั่งดูโอ่อ่านี้เป็นบริเวณสันทนาการของรถไฟขบวนนี้ งานตกแต่งภายในถือว่าอลังการมากๆในสมัยนั้น

ถัดจากขบวนแรกไปก็เป็นรุ่น Oha-31 ถูกใช้ในนามว่า Tsugaru หรือเส้นทางเลาะขอบทะเลญี่ปุ่นของจังหวัดอะคิตะและอาโอโมริ ตั้งแต่ปีค.ศ.1927 เลยทีเดียว

ที่นั่งภายในรถไฟรุ่น Oha-31 ดูๆไปก็คล้ายๆรถไฟไทยในปัจจุบัน..

ต่อไปเป็นรถไฟรุ่น Kumoha-40 ซึ่งเป็นรถไฟพลังงานไฟฟ้า เริ่มใช้ตั้งแต่ปีค.ศ.1936 ทั้งในการขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าเลย

จำลองการจอดเทียบชานชาลาสถานี Ochanomizu ในการวิ่งรถไฟในสาย Chuo Line ที่โตเกียว

ภายในรถไฟสมัยก่อนยังตกแต่งด้วยไม้เกือบทั้งขบวนเลย

เข้าไปลองนั่งทอดอารมณ์อยู่กับรถไฟเรโทร 555+

ฝั่งตรงข้ามกับชานชาลานั้นเป็นรถไฟรุ่น Kiha-41300 เริ่มใช้เมื่อปีค.ศ.1934 ในหลายๆเส้นทางรถไฟแบบ Local ซึ่งก็ดูมัน Local จริงๆ ธรรมดามากเลย..

แอบไปงัดท้ายรถไฟรุ่น Kumoha-40 เล่น!

รถไฟรุ่น Kumoha-40 พร้อมชานชาลาสถานี Ochanomizu จำลอง

คราวนี้ลองถ่ายรูปคู่กับรถไฟรุ่น Kumoha-40 บ้าง

ต่อมาก็จะเป็นรถไฟพลังงานน้ำมันแล้ว ขบวนนี้เป็นรุ่น DD13 เป็นรถไฟพลังงานดีเซล ถูกเอามาใช้แทนรถไฟพลังงานไอน้ำตั้งแต่ประมาณปีค.ศ.1950 เป็นต้นมา จริงๆมีตัวต้นแบบที่พัฒนามาเรื่อยๆตั้งแต่รุ่น DD10 จนถึง DD13 คันนี้ ไม่ค่อยได้ใช้ในการขนส่งมากนัก ส่วนมากเอาไว้ใช้ขนของมากกว่า สุดท้ายเลิกใช้เมื่อปีค.ศ.1984

ความเป็นมาของรถไฟพลังงานดีเซลสมัยวิ่งลุยฝุ่นตั้งแต่ปีค.ศ.1958

แผงผังต้นตระกูลดีเซล จะเห็นว่ามันถูกใช้งานมาจนถึงยุคมินเลนเนี่ยมนะ!! ไม่ธรรมดาเลย

มาถึงรถไฟพลังงานไฟฟ้ากันบ้าง ขบวนนี้คือรุ่น EF66 ที่เริ่มใช้งานในปีค.ศ.1966 ถูกสร้างขึ้นที่เมืองชิโมโนซะกิเมืองท่าสำคัญของอุตสาหกรรมต่อเรือของญี่ปุ่น ขบวนนี้เป็นรถแบบ sleeping train วิ่งให้บริการบนเส้นทาง Tokaido/Sanyo Line จากชิโมโนซะกิถึงโตเกียว โดยวิ่งในสายของรถไฟ Sakura, Mizuho, Fuji รวมถึง Hayabusa ด้วย สุดท้ายเพิ่งจะถูกรีไทร์เมื่อปีค.ศ.2007 นี่เอง

ขบวนนี้คือรุ่น ED75 พลังงานไฟฟ้าเช่นกัน จุดเด่นของหนูน้อยหมวกแดงขบวนนี้คือสร้างขึ้นเพื่อรองรับการวิ่งฝ่าหิมะเป็นพิเศษ และก็แน่นอนว่าต้องถูกนำไปใช้ในภูมิภาคโทโฮคุเพื่อลุยหิมะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิ่งเลียบชายฝั่งด้านบนของเกาะฮอนชูหรือภูมิภาคโฮคุริคุ เช่นสาย Ou Line รวมทั้งใช้ในเส้นทางของสาย Joban Line บางส่วน ก่อนจะนำไปใช้ที่เกาะคิวชูด้วย สุดท้ายถูกรีไทร์ในปีค.ศ.2007 ที่ผ่านมา

มาถึงรถไฟที่หลายคนคงเคยเห็นกันในอินเตอร์เน็ตเพราะเป็นรถไฟ Limited Express ที่ใช้กันแพร่หลายมาก เนื่องจากเป็นรถไฟพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับ หรือ AC-DC Electric Train รุ่นแรกเลย รถไฟนี้ถูกนำไปใช้ในหลากหลายเส้นทางมากๆด้วย โดยเริ่มต้นเดบิวต์ใช้งานรุ่นนี้เมื่อปีค.ศ.1964 จากสถานี Osaka ไปยังสถานี Toyama (น่าจะเป็นสาย Thunder Bird ในปัจจุบัน) สำหรับขบวน Hibari ในรูปนี้ เริ่มต้นวิ่งสายนี้ครั้งแรกในปีค.ศ.1965 โดยวิ่งจากสถานี Ueno ไปยังสถานี Sendai และต่อมาก็มีทั้งสาย Yamabiko(Ueno-Morioka), Yamabato(Ueno-Yamagata), Aizu(Ueno-AizuWakamatsu) ซึ่งล้วนอยู่ในภูมิภาคโทโฮคุหมดเลย เป็นช่วงที่วงการรถไฟญี่ปุ่นเฟื่องฟูมากๆจนกระทั่งถึงวันที่ก่อกำเนิดรถไฟชินคังเซ็นหัวจรวดขึ้นมา รถไฟก็ถูกลดความสำคัญลงเหลือวิ่งแค่สายสำคัญอื่นๆที่ชินคังเซ็นไปไม่ถึง

ส่วนตัวไม่ทันได้นั่งรถไฟรุ่นนี้เลย เสียดายนิดๆ

ป้ายรถไฟขบวน Hibari วิ่งจากอุเอโนะไปเซนได

มีให้ลองนั่งด้วยแฮะ อาจจะชดเชยความเกิดไม่ทันของเราได้บ้าง ลองไปนั่งดูซะหน่อยดีกว่า แต่เอ๊ะ! ต้องตีตั๋วก่อนเข้าด้วยเหรอ??

จำลองการตีตั๋วขึ้นรถไฟ เหมือนรถไฟไทยปัจจุบันไม่มีผิด แต่ของบ้านเค้าเมืองเค้าเปลี่ยนแล้ว ส่วนไทยยัง..เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง 555+

ที่นั่งในรถไฟ Limited Express รุ่นแรกๆของญี่ปุ่น เป็นแบบนี้มาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเลยนะเนี่ย

รถไฟ Limited Express ตระกูล Kuha และ Moha จะเห็นว่ากี่รุ่นๆก็สีเดิมไม่เปลี่ยนเลย อย่างตัวเราเห็นครั้งแรกสุดที่รู้จักก็สาย Kodama ที่เป็นรถ Limited Express ขบวนแรกบนสาย Tokaido Line ก่อนจะมีรถไฟชินคังเซ็นออกมา ขอบอกว่าแต่ก่อนวิ่งจากโตเกียวถึงโอซาก้าใช้เวลา 7 ชม.ครึ่งนี่ถือว่าหล่อแล้วนะ 555+

มีบอกประวัติที่แสดงว่ารถไฟตระกูล KuHa ถูกนำไปวิ่งที่ไหนในสายใดมาบ้าง

รุ่นนี้เป็นรุ่น ED-17 เก่าแก่มาก รถไฟพลังงานไฟฟ้าสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1923 ในสไตล์แบบอังกฤษชาติที่มาช่วยร่วมพัฒนาระบบรถไฟให้ญี่ปุ่นในสมัยนั้น ถูกนำมาใช้วิ่งในเส้นทาง Tokaido Line ระหว่างสถานี Tokyo และสถานี Kozu

มาถึงพระเอกของงานแล้วจ้า เห็นหัวจรวดแบบนี้ แน่นอนครับว่าเป็นรถไฟชินคังเซ็น ขบวนนี้เป็นซีรี่ 200 ถือเป็นรุ่นแรกๆของชินคังเซ็นเลย เริ่มใช้ในภูมิภาคโทโฮคุเมื่อปีค.ศ.1982 บุกตะลุยพายุหิมะมานับไม่ถ้วนในเส้นทางสาย Tohoku Shinkansen และ Joetsu Shinkansen รวมทั้ง Akita Shinkansen และ Yamagata Shinkansen ในยุคมินเลนเนี่ยมก่อนจะรีไทร์ในปีค.ศ.2013 ที่ผ่านมานี่เอง เจ้าซีรี่ 200 นี้ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 240 กม./ชม.เลยนะ

สามารถเข้าไปนั่งภายในตู้รถไฟของชินคังเซ็นซีรี่ 200 ได้ด้วย!

ลองนั่งดูซะหน่อย ความสะดวกสบายนี่ใกล้เคียงกับปัจจุบันเลยนะ คือดูดีกว่าพวกรถไฟ Limited Express หลายๆขบวนเลยด้วยซ้ำ ที่นั่งเป็นแบบ 2-3 มีโต๊ะสำหรับทานอาหารเหมือนกับซีรี่ 700 ในปัจจุบันเลย

ตอนแรกคิดว่าจะมีแต่ที่นั่ง ordinary car แบบนี้ ที่ไหนได้ มันมี green car ด้วย! แสดงว่า green car นี่มีมาตั้งแต่รุ่นแรกๆของชินคังเซ็นเลยสินะ

สำหรับรถไฟชินคังเซ็นก็ต้องมีคนเข็นรถขายของ ซื้อนี่หน่อยค้าบ 555+

แผนผังพัฒนาการของชินคังเซ็น กว่าจะมาถึงรุ่น E7/W7 แบบปัจจุบัน ในตอนนี้เหลือใช้แค่รุ่นตั้งแต่ E2 ลงเท่านั้นล่ะ

ส่วนหัวขบวนนี้คือตำนานครับ!! นี่คือหัวรถไฟชินคังเซ็นซีรี่ 0 หรือตัวต้นแบบขบวนแรกที่เริ่มออกวิ่งเส้นทาง Tokaido Line เมื่อปีค.ศ.1964 หรือ 50 ปีที่แล้วนั่นเอง ซ๊รี่นี้ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 220 กม./ชม.แน่ะ

คุณปู่ซีรี่ 0 นี้ เริ่มให้บริการในปีค.ศ.1964 แล้วก็วิ่งในเส้นทางสาย Tokaido/Sanyo Shinkansen มาเรื่อยๆจนถึงปีค.ศ.2008 เลยล่ะ ถือว่าใช้งานมาอย่างยาวนานมากๆ ทำงานนานขนาดนี้สมควรได้รับบำนาญอย่างดีมากกว่าโดนตัดหัวมาเดี่ยวๆแบบนี้นะ.. ก่อนปลดระวางนั้นคุณปู่ได้ไปวิ่งในเส้นทางสาย Sanyo Line ก่อนจะมี Hikari Railstar ด้วย ที่นี่มีแค่หัวรถ ถ้าอยากดูแบบขบวนยาวๆให้ไปดูได้ที่ Ome Railway Park ตั้งอยู่ที่โตเกียวตะวันตกนะ

จากนั้นเริ่มหิว เลยเดินออกมาบริเวณสวนหย่อมด้านนอกที่มีทั้งสนามเด็กเล่นและที่ทานอาหาร ก่อนอื่นต้องเลือกซื้อข้าวกล่องก่อนๆ มีหลายอย่างให้เลือก ราคาต่างๆกันไป

แพ๊คเกจของข้าวกล่องมีแบบที่เป็นกล่องชบวนรถไฟด้วย! กิ๊บเก๋มากสุดๆ

หลังจากซื้อข้าวกล่องมาแล้วก็ไปหาที่นั่งกิน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นรถไฟซีรี่ KuHa-183 สองขบวนนี้นั่นเอง ขบวนนึงคือ Azusa อีกขบวนคือ Kaiji แต่ก่อนเนี่ยเป็นรถไฟที่วิ่งตามฤดูกาลเท่านั้นนะ เริ่มต้นสายอยู่ที่ชินจุกุเหมือนกันทั้งคู่ แต่ Azusa ไปมัทสึโมโตะ(จังหวัดนะงะโนะ) ส่วน Kaiji ไปโคฟุ(จังหวัดยะมะนะชิ) มาวันนี้พี่ทั้งสองกลายเป็นที่สำหรับทานอาหารไปซะแล้ว 555+

เข้าไปนั่งกินข้าวกันเถอะ!

เราเลือกเดินขึ้นขบวน Azusa เพื่อนั่งกินข้าวกล่องในนี้ ความรู้สึกคือเหมือนกินข้าวตอนเดินทางด้วยรถไฟจริงๆเลย

ข้าวกล่องของเรามื้อนี้เป็นแซลม่อนล่ะ

เดินเล่นต่อในสวนหย่อมข้างนอกนี้ซะหน่อย ถ้ามีลูกจะพามานั่งรถไฟนี้ให้ได้เลย 555+

หลังจากอิ่มเอมกับข้าวกล่องแล้ว เห็นว่าเวลาเที่ยงพอดี เป็นเวลาที่เค้าจะมีโชว์ขบวนรถไฟ ก็เลยรีบเดินขึ้นไปดูจากบนชั้นสอง ที่เห็นข้างหน้านั่นคือรถไฟ SL หรือ Steam Locomotive พลังงานไอน้ำ ขบวนนี้เป็นรุ่นซีรี่ C57 ซึ่งเป็นโมเดลสากลโลกเลย เดินรถกันที่เกาะคิวชูตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่อยมาจนกระทั่งปีค.ศ.1975 ถึงจะรีไทร์

เป็นบุญตาของโอตาคุรถไฟอย่างเรามากๆเลย

รถไฟจะหมุนตัวโชว์ 2-3 รอบ พร้อมทั้งเปิดหวูดดังๆ

ผู้คนให้ความสนใจมายืนชมกันเพียบเลยแฮะ

ระหว่างนั้นเราก็มองลงไปยังรถ Limited Express ตระกูล KuHa อันโดดเด่น แล้วก็มองดูรอบๆ ยังมีบางส่วนที่เรายังไม่ได้ไปเดินดู เดี๋ยวจบการโชว์ตรงนี้แล้วจะไปเดินดูกันต่อ

การแสดงรถไฟภายใน Railway Museum

ป้ายชื่อ Tsubame นี้ ในอดีตเคยเป็นชื่อของรถไฟ Limited Express สาย Tokaido Line ตั้งแต่ยังเป็นรถไฟพลังงานไอน้ำจนถึงรถไฟพลังงานไฟฟ้า วิ่งจากโตเกียวถึงโอซาก้า ผ่านมาทั้งรุ่น C-51, C-53, C-62, EF-58 เรื่อยมาจนถึงรุ่น KuHa-481 ยอดฮิต ก่อนจะรีไทร์ในปีค.ศ.1975 จนกระทั่งมีรถไฟชินคังเซ็น Kyushu Shinkansen ก็ขอเอาชื่อไปตั้งเป็นรถไฟชินคังเซ็นที่วิ่งจากฮะคะตะถึงคะโกชิมะในปัจจุบัน

สีฟ้า-ขาว หัวทู่ๆมนๆแบบนี้ ซีรี่ 0 แน่นอน! ถ้าหัวแหลมๆหน่อยแต่สีเดียวกันนี่คือซีรี่ 100 นะ

แต่ก่อนคุณปู่ยังถูกเรียกว่าเป็นแค่ Limited Express อยู่เลยล่ะ ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นต้นแบบชินคังเซ็นเลยแท้ๆ..

ตั๋วรถไฟแต่ก่อน คุ้นๆมั้ยว่ามันเหมือนรถไฟไทยในปัจจุบัน 555+

ตราปั๊มตามสถานีต่างๆในอดีต เห็นแล้วสมุดตราปั๊มในมือเรามันสั่น! เราก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบสะสมตราปั๊มของสถานีรถไฟรวมถึงสถานที่เที่ยวต่างๆทั่วญี่ปุ่นเลย

เมื่อปีค.ศ.1987 นั้น JNR ได้เปลี่ยนชื่อเป็น JR ดังในปัจจุบัน ประเทศญ๊่ปุ่นนี่ชอบตัดช่วงปีกันในเดือนเม.ย.ซะจริงๆเลย

มาถึงโมเดลโชว์ของรถไฟชินคังเซ็นในเส้นทางของ JR East กันแล้ว ซ้ายสุดที่หัวตกขอบไปนั่นคือ ขบวน Tsubasa เป็นรถไฟรุ่นซีรี่ 400 ที่เป็นสายรถของ Yamagata Shinkansen รีไทร์แล้วในปี 2010, ถัดมาคือขบวน Max ที่เป็นรุ่น E1 ที่วิ่งเส้นทาง Tohoku Shinkansen และ Joetsu Shinkansen ในนามทั้ง Toki, Tanigawa, Nasuno และ Yamabiko รีไทร์ไปแล้วเช่นกันในปี 2012 ถัดมาอีกคือขบวนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี รุ่น E2 หรือ Hayate ที่เราเคยนั่งแล้วและก็ยังใช้งานอยู่ในปัจจุบันทั้งในเส้นทาง Tohoku Shinkansen และ Nagano Shinkansen รวมถึง Joetsu Shinkansen เป็นบางขบวน ปัจจุบันถ้าอยากนั่งชินคังเซ็น E2 สามารถไปใช้บริการได้ในสาย Asama, Yamabiko, Hayate, Nasuno นะ

ขบวนถัดมาคือรุ่น E3 หรือ Komachi ที่ปัจจุบันถูกใช้งานวิ่งในเส้นทาง Yamagata Shinkansen ในนาม Tsubasa อยู่ (ส่วนใหญ๋จะพ่วงไปกับขบวน Yamabiko ในเส้นทาง Tohoku Shinkansen แล้วไปแยกกันที่สถานี Fukushima) ต่อมาคือรุ่น E4 หรือ Super Max ชินคังเซ็นแบบสองชั้นที่ปัจจุบันใช้วิ่งในเส้นทาง Joetsu Shinkansen ในนาม Max Toki และ Max Tanigawa (สองสายนี้สุดปลายทางต่างที่กัน แต่วิ่งไปเหมือนกัน 80% ของเส้นทาง)

ต่อไปก็รุ่น E5 หรือ Hayabusa สีเขียวมิคุเด่นเป็นสง่านั่นเอง ขบวน Hayabusa ถูกใช้วิ่งในเส้นทาง Tohoku Shinkansen และสุดท้ายคือรุ่น E6 หรือ Super Komachi ที่วิ่งในเส้นทาง Akita Shinkansen (โดยจะถูกพ่วงไปกับขบวน Hayabusa ก่อนแล้วไปแยกกันที่สถานี Morioka อีกที)

เดินมาถึงตรงข้างหน้าทางขึ้น-ลงทางออกมิวเซี่ยมจะเจอกระจกสวยๆนี่

มุมนี้เห็นคนถ่ายไปลงในเน็ตเยอะดี

มาได้ครึ่งทางแล้วนะ! ไปต่อกันเลยๆ

ลองเดินไปให้สุดทางชั้นลอยนี้ซะหน่อย มาถึงมุมสนามเด็กเล่นที่มีของเล่นให้เล่นมากมายที่เกี่ยวกับรถไฟ เช่นรถไฟ(รถไฟจริงๆ)รางสำหรับเด็ก น่าเล่นจัง

มีรถไฟแบบเป็นชินคังเซ็นจิ๋วให้นั่งด้วยนะเออ 555+

หลังจากนั้นก็กลับมาเดินเก็บรถไฟอีกครึ่งนึงของพิพิธภัณฑ์ให้จบ จะเริ่มเป็นโซนของรถไฟ SL ละ เริ่มจากขบวนแรกนี้คือ Locomotive No.1 มันคือหัวรถจักรไอน้ำขบวนแรกที่ญี่ปุ่นสั่งเข้ามา(จากทั้งหมดรวม 10 ขบวน) ในปีค.ศ.1871

จำลองจอดเทียบชานชาลาที่สถานี Shimbashi ในโตเกียว ซึ่งที่ชิมบะชิก็มีพิพิธภัณฑ์ซึ่งจะยังมีรางรถไฟเก่าๆถูกเก็บรักษาไว้โชว์ในพิพิธภัณฑ์อยู่ด้วย

ทดลองนั่งรอรถไฟที่ชานชาลาจำลองนี้ซะหน่อย..

ขบวนนี้เป็นรุ่น 1292 Zenko นำเข้ามาจากอังกฤษอีกซีรี่ ตั้งแต่ปีค.ศ.1874

ขบวนนี้คือรถไฟรุ่น ED-40 เป็นรถไฟพลังงานไฟฟ้าใช้งานครั้งแรกเมื่อปีค.ศ.1919 เพื่อการขนส่งผลิตภัณฑ์สินค้าต่างๆ(คล้ายๆสมัยรัชกาลที่ 5) เลิกใช้งานเมื่อปีค.ศ.1951

เดินผ่านทะลุทางเดินมาโซนข้างหลังเรื่อยๆ

มาถึงขบวนนี้เป็นรถไฟพลังงานไฟฟ้าเช่นกัน รุ่น EF-58 เริ่มต้นใช้ในปีค.ศ.1946 หลังจากที่ญี่ปุ่นทำทางรถไฟที่ใช้พลังงานไฟฟ้ายาวตลอดเส้นทางระหว่างโตเกียวถึงโอซาก้าได้สำเร็จแล้ว โดยรุ่นนี้ถูกนำมาใช้วิ่งในสาย Tsubame และ Hato บนเส้นทาง Tokaido Line รวมถึง Sanyo Line, Tohoku Line และ Kisei Line เป็นต้นด้วย ก่อนจะค่อยๆถูกรีไทร์จนเกลี้ยงทุกเส้นทางในปีค.ศ.1986

ขบวนนี้เป็นรุ่น KuHa-181 รุ่นต้นๆของตระกูลรถไฟพลังงานไฟฟ้า การเดินรถไฟจริงๆแต่ก่อนจะค่อนข้างจำกัดบริเวณด้วยสาเหตุจากกระแสไฟฟ้าที่บางที่เป็นกระแสตรงบางที่เป็นกระแสสลับแถมวัตต์ไม่เท่ากันก็มี ที่เคยเป็นปัญหากับรุ่น 151 และ 161 เลยพัฒนาและหลอมรวมปรับปรุงขึ้นมาเป็นรุ่น 181 วิ่งในสาย Joetsu Line ในนาม Toki (สายนี้กลายเป็นชินคังเซ็นไปแล้วในปัจจุบัน) รุ่น KuHa-181 นี้ถูกรีไทร์เมื่อปีค.ศ.1986

มาถึงรถนอนในตำนานอีกขบวนนึงแล้ว รถไฟ Asakaze คือรถนอนที่เดินรถจากสถานี Tokyo ถึงสถานี Shimonosaki เหมือนกับขบวน Fuji เมื่อตอนต้นวันนั่นเอง แล้วก็เริ่มจะทอดยาวต่อไปถึงสถานี Hakata ในปีค.ศ.1970 เป็นรถไฟซีรี่ EF-66 เริ่มใช้ในปีค.ศ.1956 จนกระทั่งรีไทร์ทั้งหมดในปีค.ศ.2005 ที่ผ่านมา สังเกตสิว่าเริ่มใช้พร้อมๆกับรถไฟนอนไปเชียงใหม่หรือไปหาดใหญ่บ้านเราเลยนะ

จากคำอธิบายนั้นระบุว่ารถไฟรุ่นนี้ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้ประโยชน์เป็นรถที่นอนรวมถึงการทำกิจกรรมต่างๆบนรถได้ โดยออกแบบให้ขยายห้องโดยสารให้ได้กว้างจนถึงที่สุดเท่าที่สามารถทำได้

ขบวนที่ตั้งโชว์นี้ต้นสาย-ปลายสาย คือ Tokyo-Hakata ถูกรีไทร์ไปเมื่อปีค.ศ.1986

มีหุ่นจำลองคุณพนักงานบนรถไฟกำลังจัดเตรียมที่นอนให้ผู้โดยสาร เหมือนรถไฟนอนของไทยเลย!

อืม..มันเป็นเช่นนี้นี่เองนะ ประเทศไทยยังมีรถไฟนอนแบบนี้ให้บริการอยู่เลย ญ๊่ปุ่นยกเลิกแทบจะทั้งหมดไปแล้ว

พอดูห้องนอนโดยละเอียดแล้วก็เห็นว่ามันต่างจากไทยอยู่นะ ของไทยเรามันแบ่งออกเป็นสองฝั่งมีทางเดินตรงกลาง แต่ของญี่ปุ่นทางเดินอยู่ขวามือ แล้วแบ่งช่องเป็นสี่ช่องแบบที่เห็นเนี่ยล่ะ

มาถึงขบวนนี้เป็นรุ่น KuMoHa-101 เริ่มใช้ในปีค.ศ.1957 บนเส้นทางสาย Chuo Line ในระแวกโตเกียว ขบวนนี้ถูกเอามาทำเป็น simulator ให้เด็กๆเรียนรู้การขับรถไฟจากขบวนจริง

เด็กๆไปนั่งรอกันอยู่ในตู้รถไฟ รอคิวเรียกเข้าไปลองขับ

ที่เห็นนี้คือเค้าเปิดโอกาสให้เด็กๆไปลองเป็นพลขับดูล่ะ

ขบวนนี้เป็นรถไฟ SL รุ่น C-51 ที่ถูกสั่งนำเข้ามาในปีค.ศ.1919 เช่นเดียวกัน อยู่รับใช้พี่น้องในภูมิถาคจูบุและคันไซมานานกว่า 40 ปีก่อนจะถูกรีไทร์ไปในปีค.ศ.1962

รถไฟขบวนสุดท้ายที่เดินผ่านคือรถไฟ SL รุ่น 7101 Benkei สั่งนำเข้ามาจากอเมริกา(ไม่ใช่อังกฤษเหมือนขบวนอื่น) เริ่มใช้เมื่อปีค.ศ.1880 บนเกาะฮอกไกโด แล้วก็ใช้เฉพาะที่ฮอกไกโดด้วย

ครบแล้ว! หาที่นั่งพักเหนื่อยในขบวนรถไฟ SL แถวๆนี้ซะหน่อย

วนครบ 1 รอบแล้วก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกว่ามาเยือนที่ Railway Museum ที่ไซตะมะแล้วนะ! ยังมีพิพิธภัณฑ์รถไฟอีกหลายที่เลยที่น่าไปเยือน เอาไว้เราจะพยายามไปเก็บให้ครบนะ!

สำหรับพื้นที่โซนทางซ้ายมือที่เหลือจะเป็น exhibition รูปถ่ายและข้อมูลสถิติต่างๆ รวมถึงมีอุปกรณ์รถไฟเก่าๆเก็บรักษาเอาไว้ด้วย นอกจากนี้ก็มีโซนอุปกรณ์ส่งเสริมความรู้ให้เด็กๆได้เล่นอีกด้วย อันนี้เป็นส่วนหนึ่ง รูปถ่ายแสดงถึงอุโมงค์และสะพานตามเส้นทางต่างๆ เห็นๆแบบนี้ดูปลอดภัยแบบนี้ รถไฟญี่ปุ่นก็เคยมีโศกนาฏกรรมมาแล้วหลายครั้งเลยด้วยนะ หนึ่งในสาเหตุเหล่านั้นก็คือ "ลมกรรโชกแรง" ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลทำให้รถไฟญี่ปุ่นมักจะหยุดให้บริการเมื่อมีเหตุการณ์ลมกรรโชกแรงเกิดขึ้น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากวาตภัยเช่นนั้นนี่เอง

ก่อนกลับจะมีพวกอุปกรณ์จำลองทั้งโมเดลรถไฟและจำลองหน้าจอการขับรถไฟให้เราไปยืนดูกันด้วยนะ ส่วนขายของที่ระลึกไม่ค่อยน่าสนใจเพราะซื้อที่ไหนก็ได้แม้แต่ในโตเกียวหรือที่สถานี Omiya ก็มีเช่นกัน

เดินกลับออกมาจากมิวเซี่ยมด้วยความอิ่มเอมใจ ตีตั๋วโดยสารรอขึ้นรถไฟ New Shuttle กลับไปลงที่สถานี Omiya

รถไฟมาแล้ว คราวนี้ผู้โดยสารเยอะแฮะ

มองลงไปเห็นบริเวณสวนสนุกภายในมิวเซี่ยมด้วย กำลังมันส์กันใหญ่เลย

สถานีเดียวก็ถึงสุดสายที่สถานี Omiya เดี๋ยวจะเดินกลับไปตรงสถานีรถไฟ JR ต่อ

กลับมาถึงสถานีรถไฟ JR ก่อนอื่นต้องจองตั๋วรถไฟเที่ยวกลับซะก่อน

รถที่จองที่นั่งได้คือรถไฟ Shinkansen Yamabiko 212 จะมาจอดที่ชานชาลาที่ 14

รถไฟมาแล้วๆ ขบวนนี้เป็นรุ่น E2 ที่เห็นได้บ่อยๆ

เรานั่งรถไฟ Shinkansen Yamabiko 212 ออกจากสถานี Omiya เวลา 13.51 น. ไปถึงสถานี Tokyo เวลา 14.16 น.

ระหว่างเดินทาง หยิบน้ำรสสาลี่แบรนด์ฟุนัชชี่มาดื่ม รสชาติไม่ได้เรื่องหรือเราไม่ชินกันนะ..

กลับมาถึงสถานี Tokyo ก็เจอหัวรถไฟชินคังเซ็นจูบพ่วงกันพอดีเลย!

กลับมาถึงสถานี Tokyo แล้ว มาเดินเล่นที่ First Avenue ชั้นใต้ดิน ที่นี่มี Character Street ที่มีร้านขายตุ๊กตาคาแรกเตอร์มากมาย โดยที่เรานัดน้องแก๊ปน้องที่รู้จักที่มาเรียนอยู่ที่โตเกียวนี่มาเดินเล่นด้วยกันที่นี่

แผนที่ที่ตั้งของร้านใน Character Street มีตัวคาแรกเตอร์หลายตัวเลยที่เราชื่นชอบ

ชอปของเจ้าเห็ดนาเมะโกะ

เจ้านี่เป็นตัวคาแรกเตอร์ล่าสุดที่เราเพิ่งชอบเลยล่ะ! การจะสะสมให้ครบนี่คงแทบเป็นไปไม่ได้ ก็ดูพวกมันสิว่าเยอะขนาดไหน..

Pokemon Store ที่นี่ก็มี ใครเป็นสาวกโปเกม่อนก็มาเยี่ยมชมเสียเงินกันที่นี่ได้นะ

Rilakkuma Store ก็เป็นอีกหนึ่งที่นิยมในหมู่คนไทยเช่นกัน

ส่วนนี่เป็นชอปของคาปิบาระซัง ตัวคาแรกเตอร์ที่เราชอบสุดๆในตอนนี้!

เห็นสินค้าแล้วอดใจไม่ไหว.. หยิบไปจ่ายเงินก่อนละนะ

Moomin Shop ก็มีด้วยเหมือนกันนะ

และก็แน่นอนว่ามันจะขาดสินค้าของเจ้าฟุนัชชี่ที่กำลังดังทั่วญี่ปุ่นในตอนนี้ไปไม่ได้!

คนเดินกันแน่นขนัดใน Character Street เลย ต้องเดินฝ่ากันไป

เนื่องจากคุณน้าของเรายังไม่เคยมาที่สถานีโตเกียว เราเลยพาเดินไปถ่ายรูปที่หน้าสถานีโตเกียวที่เพิ่งปรับปรุงเสร็จใหม่ซะหน่อย ยังเดินไม่หลงทางนะ! เคยมาแล้วมันคุ้นๆมันก็เลยไม่หลงแล้ว 555+

สวัสดีอีกครั้งนะ..สถานีโตเกียว

มาเยือนทุกครั้งก็ต้องถ่ายรูปด้วย

ก่อนจะกลับไปเอากระเป่าที่ที่พัก เดินผ่านร้าน GODIVA ที่อยู่ชั้นใต้ดินของตึกมะรุโนะอุจิ

ช๊อกโกแลตของร้านนี้อร่อยจริงๆ!!

หลังจากกินช๊อกโกแลตเสร็จ ก็ได้เวลาเดินทางกลับไปเอากระเป๋าก่อนจะขึ้นเหนือไปอาโอโมริแล้ว บอกลาน้องแก๊ปแล้วก็เดินไปขึ้นรถไฟ JR สาย Yamanote Line ไปลงที่สถานี Akihabara แล้วต่อรถไฟสาย Chuo/Sobu Line กลับไปลงที่สถานี Asakusabashi

เดินกลับมาเอากระเป่า แล้วก็บอกลา Khaosan Tokyo Ninja สำหรับ 2-3 วันอันแสนวิเศษ และเราก็พร้อมแล้วที่จะเดินทางตรงดิ่งขึ้นสู่อาโอโมริ จังหวัดที่อยู่เหนือสุดของเกาะฮอนชูอันเป็นที่พักแรกในการตะลุยโทโฮคุ

รถไฟที่จองไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เช้าคือ Shinkansen Hayabusa 83 รถไฟจะออกเวลา 18.44 น. ก่อนหน้านั้นยังมีเวลาพอที่จะไปเดินซื้อข้าวกล่องในสถานีได้อยู่พักใหญ่ๆเลย

หาซื้อข้าวกล่องและน้ำดื่มเรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะไปขึ้นรถไฟกันละ

รถไฟมาเทียบชานชาลาและ ขอโบกมือบ๊ายบายโตเกียวชั่่วคราวนะ

เราจะนั่งรถไฟ Shinkansen Hayabusa 83 ออกจากสถานี Tokyo เวลา 18.44 น. จะไปถึงสถานี Shin-Aomori เวลา 22.00 น.

ข้าวกล่องที่ซื้อมา มีทั้งแซลม่อนย่างและโอโทโร่ย่าง

นั่งๆนอนๆอยู่บนรถไฟ 3 ชม.กว่าๆ ก็มาถึงสถานี Shin-Aomori จนได้ ที่อาโอโมริยังหนาวเหมือนที่เคยมาครั้งก่อนเลย น่าจะต่ำกว่าที่โตเกียวราวๆ 7-8 °C เลยล่ะ พอลงรถไฟแล้วมันสัมผัสได้จังๆเลย..

จากสถานีของรถไฟชินคังเซ็น เดินออกไปรอต่อรถไฟ JR แต่กว่ารถจะมาก็อีกตั้ง 40 นาทีแน่ะ

เลยต้องเข้าไปนั่งรอรถไฟในห้องอุ่น อยู่ข้างนอกนี่แข็งตายแน่ๆ..

ได้เวลารถมาละ ลงไปรอที่ชานชาลากัน

รถไฟสาย Ou Line ที่วิ่งให้บริการยันดึกดื่น

จากสถานี Shin-Aomori มาถึงสถานี Aomori ใช้เวลาเพียง 5 นาที พอถึงสถานี Aomori ก็รีบเดินไปโรงแรมที่พักกันทันที ไม่งั้นเดี๋ยวหนาวตาย 555+

ดูแผนที่ของที่พักคราวนี้คือ APA Hotel Aomorieki-Higashi อยู่ไม่ไกลจากสถานีมากนัก เดินแค่ 2-3 แยกไฟแดงก็ถึงละ

เดินลากกระเป๋าเดินทางมากันด้วยความหนาว ในที่สุดก็มาถึงโรงแรม APA Hotel Aomorieki-Higashi ที่นี่เป็น 24 hr. Front Desk นะ เพราะงั้นเราเลยไม่ซีเรียสว่าต้องมาถึงโรงแรมกี่โมง ก็เลยเลยมาซะค่ำเลย 555+

ไปเช็คอินกรอกเอกสาร+จ่ายเงินค่าห้องแล้วก็เข้าพักได้ ถึงห้องพักรีบวิ่งเข้าห้องน้ำก่อนเลย อั้นมาสักพักละ 555+

เตียงนอนก็ดูโอเคดีตามมาตรฐาน Business Hotel นะ เราจะอยู่พักที่นี่ 2 คืน ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เซ็นไดต่อไป

สำหรับแพลนในวันพรุ่งนี้ จะต้องตื่นแต่เช้าไปเที่ยวที่ทะเลสาบโทวะดะและลำธารโออิระเสะ ดังนั้นก็เลยต้องรีบอาบน้ำนอน พรุ่งนี้เจอกันใหม่ครับ!

About Puttiano Rossi

"เป้าหมายของเราคือการไปเยี่ยมเยือนให้ครบทั้ง 47 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีก็จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้"

  • Black Facebook Icon
  • Black Instagram Icon
  • Black Twitter Icon
Never Miss a Post!
bottom of page